วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2565

จบต้นตอ ก่อนเกิดโรคไต

จบต้นตอ ก่อนเกิดโรคไต



           ผู้ป่วยโรคไตในปัจจุบันมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังกว่า 17.6 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นการจบต้นต่อการเกิดโรคไต การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อไตจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะไตไม่ได้มีหน้าที่แค่ขับถ่ายของเสียเท่านั้น แต่รวมถึงการรักษาสมดุลต่างๆ ของร่างกายด้วย เมื่อไตแข็งแรงก็จะมีสุขภาพที่ดีด้วย

           พญ.นลินี สายประเสริฐกิจ แพทย์อายุศาสตร์โรคไต ศูนย์โรคไต รพ.กรุงเทพ กล่าวว่า คนเราจะมีไต 2 ข้างและทำหน้าที่ในการขับของเสียและดูดซึมน้ำ รักษาสมดุลเกลือแร่ กรดด่างของร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต ผลิตฮอร์โมนควบคุมการทำงานของเม็ดเลือด รักษาสมดุลแคลเซียมต่างๆ เพราะฉะนั้นหากไตมีปัญหา จะทำให้ไตเกิดความผิดปกติทั้งหมด โดยโรคไตแบ่งออกเป็นไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง ไตวายเฉียบพลันคือการทำงานของไตที่ผิดปกติในช่วงเวลาอันสั้น เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แต่สามารถรักษาให้กลับสู่ภาวะปกติได้ ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตมีความผิดปกติ ค่าการทำงานของไตต่ำลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง หรือมีระยะเวลานานกว่า 3 เดือน กลุ่มเสี่ยงในการเกิดโรคไต อาทิ คนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วจะมีความเสี่ยงเป็นโรคไตร่วมด้วย คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงจะสัมพันธ์กับไต เพราะไตเป็นอวัยวะที่เต็มไปด้วยหลอดเลือด เมื่อมีความดันโลหิตสูงจะส่งผลถึงไตโดยตรง ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน หรือ กลุ่มคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดต่างๆ เช่น หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป เพราะอัตราการทำงานของไตลดลง กลุ่มคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่นถุงน้ำในไต เป็นต้น กลุ่มคนเป็นเกี่ยวกับโรคข้อ โรค SLE และนอกจากนี้จะเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติการใช้ยา การได้รับสารพิษ


             เมื่อไตทำงานลดลง ไม่สามารถทำงานได้ปกติ เกิดการเสื่อมสภาพลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เป็นหัวใจสำคัญในการชะลอไตวายเรื้อรัง  ช่วยควบคุมอาการและดูแลไม่ให้ไตทำงานหนักจนเกินไป โดยอาหารที่ควรระมัดระวังในการรับประทานคือ

 1) เนื้อสัตว์ เพราะหากรับประทานมากจนเกินไปจะส่งผลเสีย ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นและเกิดการคั่งของของเสีย แต่หากรับประทานน้อยไปอาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันตำลง เสี่ยงในการเสียชีวิตได้ 

2) ข้าวและแป้ง อาหารกลุ่มนี้มีแหลงโปรตีนในปริมาณที่แตกต่างกัน อาจทำให้ผู้ป่วยไตเสื่อมระยะ 3-5 จำกัดการรับประทานโปรตีนได้ยาก ผู้ป่วยควรได้รับความรู้ในการเลือกกลุ่มแป้งที่ถูกต้องและปลอดภัย เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ และสาคู เพื่อให้การรักษาโรคไตเสื่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

3) ไขมัน ไขมันที่ดีคือไขมันไม่อิ่มตัวสูง ไขมันอิ่มตัวสูงพบในมันและหนังสัตว์ น้ำมันจากสัตว์ เป็นต้น 

4) ผักและผลไม้ เเหล่งเเร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก เเต่เมื่อไตสูญเสียความสามารถในการรักษาสมดุลเกลือเเร่บางตัว การเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีเเร่ธาตุต่ำจึงมีความสำคัญต่อการรักษาอย่างมาก ผลไม้กับผลที่ควรเลือกทานขึ้นอยู่กับ ระดับโพแทสเซียม เเมกนีเซียม เเคลเซียม เเละโซเดียมในเลือดขณะนั้น 

5) เกลือ หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้ได้รับโซเดียมเกินความจำเป็น อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น 

6) น้ำ ผู้ที่ไตขับปัสสาวะได้ลดลงมีความจำเป็นต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่มเพื่อป้องกันภาวะบวมน้ำเเละน้ำท่วมปอด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันจะนับรวมถึงอาหารทุกชนิดที่เป็นของเหลวเเละเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า ซุป น้ำผลไม้ น้ำผัก 

        และไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องดูแล โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตต้องใส่ใจเป็นพิเศษ อยากให้ทุกคนตระหนักถึงโรคไตและป้องกันโรคไตด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลี่ยงอาหารเค็มจัด หวานจัด ดื่มน้ำวันละ 8 - 10 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ ตรวจคัดกรองไตอย่างน้อยปีละครั้ง สำหรับผู้ป่วยโรคไตควรพบแพทย์ตามนัดหมายและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคไต โรงพยาบาลกรุงเทพ  โทร.1719  แอดไลน์ : @bangkokhospital  


วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

ททท. ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านมาท่องเที่ยววัดพระธาตุช่อแฮ่ พระอารามหลวง จังหวัดแพร่ พระธาตุประจำปีนักษัตร “ปีขาล”

ททท. ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านมาท่องเที่ยววัดพระธาตุช่อแฮ่

พระอารามหลวง จังหวัดแพร่ พระธาตุประจำปีนักษัตร  ปีขาล


ปี พ.ศ. 2565 ตรงกับปีนักษัตรปีขาล จังหวัดแพร่ซึ่งมี องค์พระธาตุช่อแฮ” พระธาตุประจำ ปีนักษัตร ปีขาล”  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านมาท่องเที่ยววัดพระธาตุช่อแฮ่ พระอารามหลวง จังหวัดแพร่ พระธาตุประจำปีนักษัตร  ปีขาล”  มาสัมผัสประสบการณ์ย้อนเสน่ห์วันวาน




 โดยเช้าวันนี้ 12 มีนาคม 2565 ททท. นำโดย นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ พร้อมด้วยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคภาคเหนือทุกสำนักงาน เข้าร่วม พิธีสืบชะตาโบราณ” และ  ถวายตุงเสริมชัยมงคล” ณ วัดพระธาตุช่อแฮ วัดอารามหลวง ซึ่งเป็นกิจกรรมนำร่องสร้างกระแสให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี




สอบถามข้อมูลการจัดกิจกรรมรวมพลคนปีขาล ได้ที่ วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง โทรศัพท์ 082 893 7334 รวมถึงข้อมูลการท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ ได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ (พื้นที่รับผิดชอบ แพร่,อุตรดิตถ์) โทรศัพท์ 054 521 127 และ Facebook Page : ททท.สำนักงานแพร่

#รวมพลคนปีขาล

#เที่ยวเมืองไทยAmazingยิ่งกว่าเดิม

#ทำบุญสืบชะตา

#วัดพระธาตุช่อแฮ

 

50 ปี รพ. กรุงเทพ เป็นมากกว่าโรงพยาบาล ดูแลสุขภาพคุณทุกที่ ทุกเวลา

50 ปี รพ. กรุงเทพ เป็นมากกว่าโรงพยาบาล 

ดูแลสุขภาพคุณทุกที่ ทุกเวลา

เนื่องในโอกาสก้าวขึ้นสู่ปีที่ 50 ของโรงพยาบาลกรุงเทพ  ภายใต้การบริหารงานของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS  เรามุ่งมั่นยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ มุ่งบริการดูแลผู้ป่วยให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว และเข้าถึงการรักษาได้ง่าย เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน ปีนี้ชูคอนเซ็ปต์ “เป็นมากกว่าโรงพยาบาล (More Than Hospital) ดูแลสุขภาพคุณทุกที่ ทุกเวลา” ผ่านแคมเปญการตลาดตลอดทั้งปี  เพื่อขอบคุณผู้รับบริการที่ให้การสนับสนุนและกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความเชื่อมั่นในมาตรฐานการให้บริการและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้สูงขึ้น ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว สอดคล้องกับพันธกิจของโรงพยาบาลที่ดูแลทุกท่านมาตลอด 50 ปี

พญ.เมธินี ไหมแพง รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ตลอด 50 ปีที่โรงพยาบาลกรุงเทพ มุ่งมั่นให้การรักษาผู้ป่วยทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติ ให้ได้รับประสบการณ์การรักษาพยาบาลที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว โรงพยาบาลได้ยกระดับการทำงานให้เป็น Healthcare Intelligence เพื่อนอัจฉริยะที่รู้ใจทุกเรื่องสุขภาพ เต็มรูปแบบ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบภายในโรงพยาบาล โดยมีคนไข้เป็นศูนย์กลาง ในทุกกระบวนการของระบบปฏิบัติการรักษาพยาบาล มีการเชื่อมต่อและส่งต่อข้อมูลระหว่างกันตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ จากทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเปิดแอปพลิเคชันมายบีพลัส (My B+)  รองรับการใช้งานของผู้มารับบริการได้ทุกการรักษา



ซึ่งแอปพลิเคชัน My B+ คู่หูดูแลสุขภาพคุณ เป็นตัวกลางที่เชื่อมการทำงานย่อส่วนจากระบบปฏิบัติภายในโรงพยาบาล ให้คุณเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว ตั้งแต่การนัดหมายแพทย์แบบ real-time appointment การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ผ่านระบบ Tele-consultation  ดูประวัติติดตามผลตรวจสุขภาพและข้อมูลยา ดูผลการตรวจ COVID-19 ภายใน 24 ชั่วโมง และการชำระเงิน ไปจนถึงข้อมูลสุขภาพอื่นๆ ซึ่งในสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสุขภาพอื่น ๆ ได้ง่ายมากขึ้น รวดเร็ว ลดการเดินทาง ลดโอกาสในการติดเชื้อ  เช่น โรงพยาบาลบริการตรวจและรายงานผล COVID-19 ในกลุ่มกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่ถ่ายทำในสถานที่ต่าง ๆ ภายในประเทศไทย ช่วยอำนวยความสะดวก ทราบผลการตรวจได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถดำเนินการถ่ายทำและคัดกรองทั้งคนไทยและต่างชาติให้ปลอดเชื้อได้อย่างชัดเจน  ในขณะที่ทางโรงพยาบาลก็สามารถขยายบริการดูแลผู้ป่วยได้ทั่วถึงในทุกที่ ทุกเวลาในหลายๆ สถานที่พร้อมๆ กัน


นอกจากในปีนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ร่วมมือกับเครือ BDMS จัดแพ็กเกจ BDMS Screening ครอบคลุมการตรวจคัดกรอง โรคร้าย ด้านสมอง มะเร็ง เเละหัวใจ เพื่อตอกย้ำความตั้งใจในการดูเเลสุขภาพของคนไทย สำหรับบุคคลอายุ 35 ขึ้นไป ในราคา 5,550 บาท ประกอบด้วย การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง โดยเพศชายจะตรวจอวัยวะภายในช่องท้องส่วนบนโดยใช้คลื่นความถี่สูง (Ultrasound Upper Abdomen) ได้แก่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ไต ส่วนเพศหญิงจะเป็นการตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยดิจิทัลแมมโมเกรมและอัลตราซาวนด์ (Digital Mammogram and Ultrasound both sides) เพื่อวินิจฉัยหาความผิดปกติของเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถตรวจได้ทั้งเมื่อมีอาการและยังไม่เกิดอาการผิดปกติ การตรวจคัดกรองโรคสมองและระบบประสาท เป็นการตรวจดูผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (Carotid Doppler Ultrasound) ตรวจหาคราบหินปูนที่อยู่ตามบริเวณหลอดเลือดที่คอเพื่อดูภาวะตีบแคบของหลอดเลือด และการตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นการตรวจวัดระดับแคลเซียมหรือหินปูนของผนังหลอดเลือดหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Coronary Calcium Score) เพื่อประเมินความเสี่ยงซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะการตรวจสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้เราได้รู้เท่าทันความเสี่ยงต่อโรคร้าย และช่วยหาโรคที่ไม่แสดงอาการในช่วงระยะแรกได้ เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อซื้อโปรแกรม BDMS Screening เข้ามาทำนัดและรับบริการที่โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ (ซ.ศูนย์วิจัย) พร้อมช่องทางการจัดจำหน่าย สั่งซื้อคูปอง E – Coupon ทาง 4 ช่องทางออนไลน์  คือ 1. ผ่านแอปฯ Shopee โดยค้นหาหน้าร้านออฟฟิเชียลสโตร์ BangkokHospital_official บน Shopee Mall 2. Line chatbot @BplusOnline ของโรงพยาบาลกรุงเทพ 3. www.Health-Plaza.com : BangkokHospital  4. www.savedrugonline.com  ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม 2565   ในเฟส 2 เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2565 เน้นการผ่าตัด ทำโปรโมชั่นหัตถการผ่าตัดข้อเข่าเทียม   ในราคา 250,000 บาท  โดยทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สหสาขาวิชาที่ชำนาญการ ช่วยให้คุณฟื้นตัวไว คืนการเคลื่อนไหวให้คุณได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเร็วยิ่งขึ้น

            ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในฐานะที่ รพ. กรุงเทพ เป็นส่วนหนึ่งของ BDMS ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาและขยายการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสู่ระดับสากล โดยการกำหนดแผนแม่บทเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสามารถพัฒนาควบคู่กันไปได้อย่างมีดุลยภาพ โดยได้นำแผนดังกล่าวนำมาปรับใช้ในการทำงานขั้นพื้นฐาน และผลักดันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์และวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์กรจากปัจจุบันสู่อนาคต และเราจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนเคียงคู่ประเทศและสังคมโลกต่อไป จนได้รับจัดอันดับเข้าเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ DJSI  (Member of Dow Jones Sustainability Indices) ถือเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน ภายใต้เกณฑ์ที่มุ่งเน้นกิจกรรมเสริมสร้างความยั่งยืนทั้ง 3 มิติคือ ด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม(Environment) การดูแลสังคม (Social) และมีธรรมาภิบาลทางธุรกิจ (Governance)

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นอีกสิ่งที่โรงพยาบาลกรุงเทพให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าพันธกิจทางการรักษาพยาบาลที่เน้นมาตรการความปลอดภัยและมาตรฐานการรักษา โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทางโรงพยาบาลได้ร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน สนับสนุนวาระแห่งชาติ จัดบริการหน่วยฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกสถานพยาบาลและภายในโรงพยาบาล เพื่อบริการฉีดให้กับประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยให้สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ลดความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565  เราให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 300,000 คน พร้อมทั้งจัดทีมบุคลากรทางการแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลสนามบีดีเอ็มเอส สนามกีฬาทอ.(ธูปะเตมีย์) รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ประมาณ 100 เตียง  รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินในภาวะวิกฤต ด้วยแคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ ช่วยให้คนไข้และบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้รับความปลอดภัยสูงสุดขณะลำเลียง และเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อจากคนไข้สู่บุคลากรและสิ่งแวดล้อม และในปีนี้เปิดให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือก วัคซีนสำหรับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเด็กตามโรงเรียนต่าง ๆ  และเพื่อต่อยอดการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืนให้กับประชาชน เตรียมจัดอบรมการสอนช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน Basic Life Support ช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และการช่วยผู้ป่วยสำลักอุดกั้นทางเดินหายใจ  ให้กับชุมชน โรงเรียน สถานตำรวจ และบริษัทเอกชนต่าง ๆ  เพื่อให้ทุกคนมีความรู้และประยุกต์ใช้จริง หากเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นภายในบ้านหรือสถานที่ที่อยู่อาศัย กิจกรรมนี้จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน

 

 


 

 

  

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565

โรงพยาบาลกรุงเทพ มอบโปรแกรมตรวจสุขภาพ BDMS Screening คัดกรองสมอง มะเร็ง หัวใจ ราคา 5,550 บาท วันนี้ – 31 มีนาคม 2565

โรงพยาบาลกรุงเทพ มอบโปรแกรมตรวจสุขภาพ BDMS Screening คัดกรองสมอง มะเร็ง หัวใจ ราคา 5,550 บาท วันนี้ – 31 มีนาคม 2565

 ร่วมฉลองปีที่ 50 กับ BDMS เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทย โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่        (ซ.ศูนย์วิจัย) เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพคุณและขอมอบสิ่งดีๆ ให้คุณและครอบครัว ขอเชิญทุกท่านมาตรวจสุขภาพ ด้วย โปรแกรมตรวจสุขภาพ BDMS Screening ตรวจคัดกรอง 3 โรคร้าย สมอง มะเร็ง หัวใจ ราคา 5,550 บาท อาทิ การตรวจคัดกรองโรคสมองและระบบประสาท เป็นการตรวจดูผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (Carotid Doppler Ultrasound) ดูภาวะตีบแคบของหลอดเลือด การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง ในเพศชายจะตรวจอวัยวะภายในช่องท้องส่วนบนโดยใช้คลื่นความถี่สูง (Ultrasound Upper Abdomen)  ได้แก่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ไต ส่วนเพศหญิงจะเป็นการตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ 2 ข้าง (Digital Mammogram and Ultrasound Breast- Both Sides) เพื่อวินิจฉัยหาความผิดปกติของเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และการตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นการตรวจวัดระดับแคลเซียมหรือหินปูนของผนังหลอดเลือดหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Coronary Calcium Score)  เพื่อประเมินความเสี่ยงซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โปรแกรมตรวจนี้สำหรับบุคคลอายุ 35 ขึ้นไป

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อซื้อโปรแกรม BDMS Screening เข้ามาทำนัดและรับบริการที่โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ (ซ.ศูนย์วิจัย) ได้ที่เคาน์เตอร์ชีววัฒนะ ชั้น 1 อาคาร โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ (ซ.ศูนย์วิจัย) โทร 02 310 3245 หรือช่องทางการจัดจำหน่าย สั่งซื้อคูปอง     E–Coupon ทาง 4 ช่องทางออนไลน์ 1. ผ่านแอปฯ Shopee ต้อนรับแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ “Shopee 3.15 Consumer Day คืนกำไรให้นักช้อป”  โดยค้นหาหน้าร้านออฟฟิเชียลสโตร์ BangkokHospital_official บน Shopee Mall 2. Line chatbot  : @BplusOnline ของโรงพยาบาลกรุงเทพ   3. Health Plaza :  BangkokHospital  4.   www.savedrugonline.com  ตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถรับบริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 31 สิงหาคม 2565  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.bangkokhospital.com

 

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดตราด ด้วยแนวคิด City Marketing เพื่อส่งเสริมการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดตราด ด้วยแนวคิด City Marketing เพื่อส่งเสริมการเดิน

ทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ




กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดตราด ด้วยแนวคิด City Marketing ผ่านการบูรณาการหน่วยงานภายในกระทรวง 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) สำนักการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดตราด ร่วมกันลงพื้นที่เกาะหมาก เกาะกระดาด และเกาะขายหัวเราะ จังหวัดตราด เพื่อพิจารณาแนวทางการยกระดับมาตรฐานการบริการของผู้ประกอบการ การสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และการตลาดเพื่อส่งเสริมการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ



นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำคณะผู้บริหารหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) สำนักการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดตราด ลงพื้นที่พบปะหารือกับผู้นำชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะหมากและเกาะกระดาด เพื่อร่วมพิจารณาการส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวด้วยแนว Responsible Tourism โดยการนำเสนอสินค้ากลุ่ม BCG Economy Model เช่น กิจกรรมเส้นทางจักรยาน Low Carbon กิจกรรมฟาร์มผักออร์แกนิค และกิจกรรม Sup Board ก่อนจะเดินทางไปบันทึกภาพประชาสัมพันธ์ เกาะขายหัวเราะ” ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยว Unseen New Series ทั้งเยี่ยมชมประภาคารแหลมงอบ ซึ่งเป็นจุด Check-in ไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของจังหวัดตราด เมื่อวันที่ 5-6 มีนาคม 2565



ดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีฯ และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าเยี่ยมชมและพบปะหารือถึงแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ” ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ซึ่งมีทัศนียภาพที่สวยงาม




และในระหว่างเดินทางลงพื้นที่จังหวัดตราดในครั้งนี้ รัฐมนตรีฯ พร้อมคณะได้ประชุมร่วมกับประธานสภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประธานหอการค้าจังหวัด สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัด เพื่อร่วมกันหารือถึงแนวทางการพัฒนา และส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดตราดเชื่อมโยงเกาะหมาก เกาะกูด และเกาะกระดาด โดยมุ่งการกระจายรายได้สู่ชุมชน สืบสานอัตลักษณ์วิถีท้องถิ่น และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืนตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต่อไป

#กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

#AmazingThailand

#AmazingNewChapters

#UnseenNewSeries

#LowCarbonTourism

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565

โรคอ้วน ศัตรูร้าย ทำลายสุขภาพ เคล็ดลับ 6 ข้อสามารถหนีให้ไกลจากโรคอ้วนได้

โรคอ้วน ศัตรูร้าย ทำลายสุขภาพ

เคล็ดลับ 6 ข้อสามารถหนีให้ไกลจากโรคอ้วนได้

        ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน (Obesity disease) รายงานจาก World Obesity Federation ปี พ.ศ. 2565 พบว่าทั่วโลกมีคนเป็นโรคอ้วน ประมาณ 800 ล้านคน  ในจำนวนนี้ 39 ล้านคน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และอีกประมาณ 340 ล้านคน เป็นเด็กและวัยรุ่นอายุ 5-19 ปี 

                องค์การอนามัยโลก หรือ WHO รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2559 ความชุก (prevalence) ของปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในผู้ใหญ่เท่ากับ 39% หรือมากกว่า 1.9 พันล้านคน เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยมีภาวะโรคอ้วนเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากมาเลเซีย และตัวเลขยังขยับขึ้นเรื่อยๆ 

                โดยข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2564 อยู่ที่ 47.2% เพิ่มขึ้นจาก 34.7% ในปี 2559 ซึ่งกรุงเทพมหานคร มีความชุกภาวะอ้วนลงพุงมากที่สุด (56.1%) รองลงมาคือภาคกลาง (47.3%), ภาคใต้ (42.7%), ภาคเหนือ (38.7%), และภาคอีสาน (28.1%) และที่น่ากังวลคือเด็กก็พบปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2564 ความชุกของโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี อยู่ที่ 9.07%  สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 5.7%

              หมอแอมป์ - นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวว่า  “โรคอ้วน (Obesity) เป็น 1 ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ชักนำไปสู่โรคอื่นๆ มากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้ออักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคภูมิต้านทานต่ำ โรคนอนไม่ดี โรคสมองเสื่อม เป็นต้น” 

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยิ่งทำให้อันตรายของโรคอ้วนเด่นชัดขึ้น เพราะตัวเลขของผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ส่วนใหญ่มาจากประเทศที่มีอัตราส่วนผู้ป่วยโรคอ้วนสูง 

‘ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่า โรคอ้วนเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงจาก COVID-19 มากถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับคนสุขภาพแข็งแรง’ คุณหมอแอมป์เน้นย้ำความสำคัญ

                 โรคอ้วน ไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจอีกด้วย 13.2% ของงบประมาณสาธารณสุขทั่วโลก คิดเป็นเงิน 9.9 แสนล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 29 ล้านล้านบาท สูญเสียไปกับปัญหาน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยก็โดนผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยปัญหานี้ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็น มูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 1.27% ของ GDP ทั้งประเทศ และถ้าปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข ในอีก 40 ปีข้างหน้า อาจกระทบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้สูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือ 4.88% ของ GDP ซึ่งนับเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศไทย ความสูญเสียนี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct cost) สำหรับการรักษาพยาบาล เกือบ 5 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางอ้อม (Indirect cost) 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงของแรงงาน (Productivity losses; absenteeism and presenteeism) คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อคนที่ 2,970 บาท และอาจสูงถึง 45,450 บาทต่อคน ในปี พ.ศ. 2603 ถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข

                โรคอ้วนคืออะไร การวินิจฉัยโรคอ้วนวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การวัดรอบเอวก็พอได้ รอบเอวผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้ว ผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว หรือใช้การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index; BMI) มาเป็นตัวบอกได้ โดยคำนวณได้จากการนำน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง ซึ่งถ้าผลที่ได้ มีค่าอยู่ในช่วง 25 - 29.9 กิโลกรัม/เมตร2 จะถือว่ามีน้ำหนักตัวเกิน และถ้าค่าสูงกว่า 30 กิโลกรัม/เมตร2 จะถือว่ามีภาวะอ้ว

                 อย่างไรก็ตาม คุณหมอแอมป์ อธิบายว่า การใช้ดัชนีมวลกายเพียงอย่างเดียว อาจบอกผลคลาดเคลื่อนได้  เพราะบางคนกระดูกใหญ่ บางคนกล้ามใหญ่ บางคนกระดูกเล็ก บางคนบวมน้ำ วิธีมาตรฐานที่ดีที่สุด คือ การตรวจดูองค์ประกอบร่างกาย ด้วย DEXA scan หรือ Dual-energy X-ray absorptiometry ถ้าเป็นผู้ชายไขมันไม่ควรเกิน 28% ถ้าเป็นผู้หญิงไขมันไม่ควรเกิน 32% เพราะผู้หญิงมีมวลไขมันที่สะโพกมากกว่า ซึ่งมวลไขมันที่มากเกินไปจะสะสมอยู่บริเวณสะโพก ต้นขา ต้นแขน และที่อันตรายคือ บริเวณช่องท้อง (Visceral fat) ทำให้เส้นรอบเอวของเราขนาดใหญ่ขึ้น หรือที่เราเรียกว่า ‘อ้วนลงพุง’ ซึ่งไขมันในช่องท้องนี้เองเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดเพราะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases; NCDs) อีกมากมาย

                คุณหมอแอมป์ อธิบายว่า โรคอ้วนเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน น้ำตาล และ ไขมัน มากเกินไป, รหัสพันธุกรรม, การมีกิจกรรมทางกายน้อย, การนอนหลับไม่เพียงพอ, ความเครียด และการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย นหนึ่งวัน เราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน ในปี พ.ศ. 2564 กรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 25 ช้อนชา เกินกว่าปริมาณแนะนำถึงกว่า 4 เท่า ซึ่งมาจากอาหารประเภท น้ำหวาน ขนมหวาน น้ำอัดลม ชานมไข่มุก นมเปรี้ยว และขนมต่างๆ เป็นต้น เครื่องดื่มบางชนิดมีส่วนผสมของ High Fructose Corn Syrup (HFCS) หรือน้ำตาลข้าวโพด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้น วมถึงไขมัน ที่อยู่ในอาหารประเภท ของทอด แกงกะทิ กาแฟเย็น ชีส ขนมอบเบเกอรี่ ครัวซองค์ อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือเนื้อสัตว์แปรรูปอย่าง ไส้กรอก แหนม กุนเชียง หมูยอ ซึ่งเป็นอาหารไขมันสูง สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคอ้วน ยิ่งถ้าไขมันที่รับประทานเป็นประเภทไขมันอิ่มตัว และ ไขมันทรานส์ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้นเท่านั้น

            “ฮอร์โมนส่งผลต่อน้ำหนักตัว เพราะฮอร์โมนหลายชนิดมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น การเผาผลาญ ความอยากอาหาร การย่อยอาหาร ซึ่งจะส่งผลตั้งแต่ความรู้สึกหิวจนถึงกระบวนการสะสมไขมัน ดังนั้นหากฮอร์โมนเหล่านี้ไม่สมดุลก็เป็นปัจจัยทำให้เข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้” 

              ฮอร์โมนที่สำคัญ คือ ‘ฮอร์โมนอิ่ม หรือ ฮอร์โมนเลปติน (Leptin)’ ซึ่งจะหลั่งมากน้อยขึ้นกับปริมาณ ‘เซลล์ไขมัน’ ในร่างกาย โดยปกติแล้วฮอร์โมนเลปตินจะทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ในคนที่เป็นโรคอ้วน จะเกิด ‘ภาวะดื้อต่อเลปติน (Leptin resistance)’ แม้จะส่งสัญญาณเตือนร่างกายให้อิ่ม แต่ไม่มีการตอบสนอง ทำให้ทานไม่หยุด คนที่น้ำหนักตัวมาก แล้วลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว พอไขมันลดลง ฮอร์โมนอิ่มก็ตกลงตามไปด้วย จึงมีการส่งสัญญาณไปที่สมอง ให้ทานเพิ่มขึ้น เป็นที่มาของ ‘โยโย่ เอฟเฟค (YOYO Effect)’ การลดน้ำหนักจึงไม่ควรหักโหม แต่ควรลดลงช้าๆ อย่างมีคุณภาพ 

                คุณหมอแอมป์ ย้ำว่า ‘การทำให้ฮอร์โมนเลปตินสมดุล จะต้องลดรอบเอว หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว และ High Fructose Corn Syrup (HFCS) รวมถึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเวลาที่นอนน้อย ร่างกายจะหลั่งเลปตินลดลง ทำให้อยากทานอาหารเพิ่มขึ้น’ ละฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องอีกตัวหนึ่ง ชื่อว่า ‘ฮอร์โมนอะดิโพเน็กทิน (Adiponectin)’ เกี่ยวข้องกับรหัสพันธุกรรมที่ชื่อว่า ADIPOQ Gene ทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน ช่วยให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานได้ดี ลดการเกิดภาวะโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคไขมันพอกตับ เป็นฮอร์โมนที่ถ้าแข็งแรง หุ่นดี จะมีมาก ช่วยลดภาวะการอักเสบของร่างกาย

ผลกระทบโรคอ้วน

            1. เพิ่มความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ข้อเข่าเสื่อม มะเร็งมากถึง 13 ชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่มะเร็งตับ และตับอ่อน เป็นต้น

           2. เพิ่มความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea; OSA) จากการตีบแคบลงของช่องลำคอ ทำให้ตื่นนอนไม่สดชื่น ง่วงนอนในเวลากลางวัน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

           3. ผู้ป่วยโรคอ้วนมักพบการขาดวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ร่วมด้วย เช่น วิตามินดี วิตามินบี1 วิตามินซี แมกนีเซียม เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดจากการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สารอาหารน้อย พลังงานสูง 

‘หากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลสุขภาพของตัวเอง ก็จะสามารถหลีกหนีให้ไกลจากโรคอ้วนได้’ คุณหมอ แอมป์จึงขอสรุปเคล็ดลับไว้ 6 ข้อดังนี้

         1. ในอาหาร 1 จาน 50% เป็นผักหลากหลายชนิด อีก 25 % เป็นโปรตีนที่ดี เช่น ปลา ถั่วและธัญพืช ส่วนที่เหลืออีก 25 % เป็นข้าวแป้งไม่ขัดสี อย่างเช่น ข้าวกล้อง 

         2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว เช่น มาการีน ชีส เนื้อสัตว์ติดมัน เนื้อแปรรูป ชานมไข่มุก กาแฟเย็น ขนมเค้ก พาย คุกกี้ อาหารฟาสต์ฟู้ด เป็นต้น 

         3. บริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะที่มี HFCS สูง เช่น ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เป็นต้น

        4. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่

        5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน, ประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์

        6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยควรนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม และนอนให้ได้ 8-9 ชั่วโมงทุกวัน

         ในวันที่ 4 มีนาคม เป็นวันโรคอ้วนโลก หรือ World Obesity Day ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยต่อสู้กับปัญหาโรคอ้วนไปด้วยกัน

          คุณหมอแอมป์ฝากทิ้งท้าย “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องลงมือทำ” 

ข้อมูลสุขภาพโดย นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) 


วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565

ททท. จับมือ สายการบินไทยเวียตเจ็ท ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง ร่วมวางกลยุทธ์ดึงตลาดนักท่องเที่ยวเวียดนาม-กัมพูชา เที่ยวไทย

ททท. จับมือ สายการบินไทยเวียตเจ็ท ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง

ร่วมวางกลยุทธ์ดึงตลาดนักท่องเที่ยวเวียดนาม-กัมพูชา เที่ยวไทย



        นางสาวสุกัญญา สิริกาญจนากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมลงนามกับนายเลือง เจื่อง อาน Executive Vice President of Thai VietJet Air ในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent - LOI) ในการวางแผนกระตุ้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในกลุ่มนักท่องเที่ยวเวียดนามและกัมพูชา และสายการบินไทยเวียตเจ็ท ( Thai Vietjet Air) โดยมี นายธเนศวร์  เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. และนายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) สายการบินไทยเวียตเจ็ท ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้ ณ ห้องประชุมจารุวัสตร์ ชั้น 10 อาคาร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565

                นายธเนศวร์  เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความรุนแรงของโรคเริ่มลดลง หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้สถานการณ์การเดินทางทั่วโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

  ด้วยเหตุนี้ ททท. จึงเล็งเห็นว่าปี 2565 เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเดินหน้าพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยสู่มิติใหม่ด้วยแนวคิด Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters กระตุ้นการเดินทางและฟื้นคืนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย ใช้โอกาสที่ดีในการที่รัฐบาลได้เปิดการท่องเที่ยวแบบ Test & Go อีกครั้ง ต่อยอดการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างยั่งยืน (Preferred Destination) อย่างแท้จริง

ในการนี้ เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวในตลาดระยะใกล้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ททท. และสายการบินไทย    เวียตเจ็ท (Thai Vietjet Air) จึงได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) มีผลต่อกันในระยะเวลา 1 ปี โดย 2 หน่วยงานจะร่วมกันวางกลยุทธ์และดำเนินกิจกรรมการตลาด ส่งเสริมประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสำหรับตลาดอาเซียน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพจากตลาดเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาเปิดเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างเวียดนาม-ไทย และกัมพูชา-ไทย ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและท่องเที่ยวและช่วยขับเคลื่อนอัตราการเติบโตของกลุ่มตลาดเวียดนามและกัมพูชาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Joint Promotion) มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยวในเส้นทางเดินทางมายังประเทศไทย และจัดกิจกรรม Agent Fam Trip หรือ Media Fam Trip นำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนจากกัมพูชาและเวียดนาม ร่วมสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวไทยมุมมองใหม่ๆ ผ่านการสำรวจและทดสอบสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่จะตอบทุกโจทย์ความต้องการในการเดินทางท่องเที่ยว ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องภายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการยกระดับและพัฒนาการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) สายการบินไทยเวียตเจ็ท กล่าวว่า เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว นำนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากเวียดนามและกัมพูชาสู่ประเทศไทย ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะมีส่วนอย่างมากในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว พร้อมๆ กับการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ยังจะเป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวจากกิจกรรมและโปรโมชั่นทางการตลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


สายการบินไทยเวียตเจ็ทได้รับรางวัล “สายการบินโลว์คอสที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งปี 2563” จากนิตยสารโกลบอล บิสซิเนส เอาท์ลุค กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และได้รับรางวัล “สายการบินที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นมิตรมากที่สุดประจำปี 2564”  โดยนิตยสารอินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนซ์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เน้นย้ำบริการที่ยอดเยี่ยม ตอกย้ำพันธกิจหลักของสายการบินฯ ในการให้บริการด้วยความสนุกสนานและเป็นมิตร ควบคู่กับความปลอดภัย ตรงต่อเวลา และราคาที่เข้าถึงได้

               ปัจจุบันสายการบินไทยเวียตเจ็ทให้บริการครอบคลุม 14 เส้นทางบินภายในประเทศ ได้แก่ เส้นทางบินจากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น นครศรีธรรมราช อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี เส้นทางข้ามภูมิภาค ก็มีเส้นทางบินจากภูเก็ตสู่เชียงใหม่ เชียงราย และอุดรธานี รวมถึงเส้นทางบินตรงจากหาดใหญ่สู่เชียงราย

ส่วนเส้นทางบินระหว่างประเทศ ก็มีเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่โฮจิมินห์ ด้วยความถี่สูงสุด 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ขณะที่เที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ  สู่ดานัง จะกลับมาให้บริการตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2565 พร้อมกันนี้สายการบินไทยเวียตเจ็ทประกาศเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศเส้นทางใหม่ จากกรุงเทพฯ สู่พนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป และจะมีการพิจารณาเพิ่มจำนวนเที่ยวบินเพื่อรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวเวียดนามและกัมพูชา ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวไทย จากสถิติปี พ.ศ. 2562 พบว่าประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม จำนวน  1,077,000 คน มีอัตราพักค้างเฉลี่ย 4 คืน โดยส่วนใหญ่นิยมเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ชลบุรี อุดรธานี เชียงใหม่และหนองคาย ขณะเดียวกันมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากกัมพูชาอยู่ที่ 908,000 คน มีอัตราพักค้างเฉลี่ย 5 คืน และจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สระแก้ว ปทุมธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ

    พร้อมกันนี้ ทางสายการบินไทยเวียตเจ็ต ยังได้วางแผนเปิดให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศเส้นทางอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อีกหลายจุดปลายทางทั่วภูมิภาคในอนาคต อาทิ จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อตลาดนักท่องเที่ยวอื่นๆ อันจะเกิดผลดีต่อการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภายในอนุภูมิภาค

 

ป่อเต็กตึ๊งเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาส่งมอบไออุ่น แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวเชียงราย ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร

ป่อเต็กตึ๊งเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาส่งมอบไออุ่น แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวเชียงราย ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร          ...