วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

สทท. ร่วมกับ ททท. ดันโครงการ "ไทยยิ้ม" ขอบคุณรัฐบาล จากนี้ไป ท่องเที่ยวไทยจะนำพาคนไทยยิ้ม ...

สทท. ร่วมกับ ททท. ดันโครงการ "ไทยยิ้ม" 

ขอบคุณรัฐบาล จากนี้ไป ท่องเที่ยวไทยจะนำพาคนไทยยิ้ม ...

สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ผลักดันโครงการ "ไทยยิ้ม" ขอบคุณรัฐบาล จากนี้ไปท่องเที่ยวไทยจะนำพาคนไทยยิ้ม การเปิดประเทศอย่างปลอดภัย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตามแนวคิด BCG

สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดยมีนายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) นายวิชิต ประกอบโกศล รองประธาน สทท. คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธาน สทท. และ รศ.ผกากอง เทพรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวิชัย ร่วมแถลงข่าวโครงการ "ไทยยิ้ม" ขอบคุณรัฐบาล จากนี้ไปท่องเที่ยวไทยจะนำพาคนไทยยิ้ม การเปิดประเทศอย่างปลอดภัย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตามแนวคิด BCG พร้อมแถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 1/2564  และไตรมาสที่ 2/2564 โดยมีรองประธาน สทท อีกหลายท่านได้แก่ นายธเนศ วรศรันย์ นางสมทรง สัจจาภิมุข ายสุรวัช อัครวรมาศ และผู้ช่วยประธาน สทท. อย่าง นายธวัชชัย เงยเจริญ นายสุทธิชัย ชื่นชมระดา นายเด่น มหาวงศ์นันท์ รวมทั้งนางสาวสุรีพร พงษ์พานิช ตัวแทนจาก ททท. ร่วมงานด้วย ที่ห้องประชุมกิ่งทองโรงแรมเอเชีย ราชเทวี กทม. เมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2564

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) แสดงความขอบคุณรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุนแนวทางการเปิดประเทศ ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ผ่านการฉีดวัคซีนครบแล้วโดยไม่ต้องกักตัว เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม นำร่องพื้นที่หวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงร้อยละ 89 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 420,000 ล้านบาทในปี 2562 โดยช่วง 1 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักและรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี อีกทั้งยังส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่นเป็นลูกโซ่ เกี่ยวเนื่องและเศรษฐกิจประเทศไทยเสียหายเป็นวงกว้าง

วันนี้ภาครัฐให้สัญญาณที่จะเริ่มทดลองเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ภาคเอกชนท่องเที่ยวทั้งหมดทุกสาขาอาชีพจะต้องรวมใจกัน เพื่อทำให้ความตั้งใจดีของภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจประเทศไทย โดยคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ทาง สทท. ขออาสาขับเคลื่อน 3 เรื่อง คือ 1. ประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายในการจัดหา กระจาย และการฉีดวัคซีนลงในพื้นที่ภูเก็ต เพื่อให้คนในพื้นที่ทั้งหมดได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง  เตรียมพร้อมสร้างการรับรู้และความมั่นใจให้ประชาชนและผู้ประกอบการสำหรับที่จะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนกรกฎาคม 2. เร่งผลักดันนโยบายท่องเที่ยวสีขาวและ BGC ในกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ผ่าน Happy Model (โมเดลอารมณ์ดี มีความสุข) เพื่อให้การท่องเที่ยวที่จะเริ่มขึ้นใหม่ไม่สร้างปัญหาให้กับพื้นที่และสิ่งแวดล้อมเหมือนในอดีต สามารถอำนวยความสะดวก ปลอดภัย เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง (Inclusiveness) 3. วางแผนการตลาดร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และผู้ให้บริการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นความต้องการท่องเที่ยวและจัดการเดินทางของตลาดหลักที่มีความเสี่ยงต่ำและนักท่องเที่ยวได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว โดยคาดว่าภายในครึ่งปีหลังนี้จะสามารถสร้างรายได้ตรงเข้าสู่ Value Chain ของภูเก็ตได้ไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งเงินเหล่านี้จะถูกกระจายไปยังธุรกิจ SME และชุมชนทั่วประเทศ สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องอีกไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท

            คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธาน สททและนายกสมาคมโรงแรมไทย  กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการปรับให้สินค้าและบริการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้เป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่ โดยนายชำนาญ ศรีสวัสดฺิ์ ประธาน สทท. นอกจากจะต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องความสะอาด ปลอดภัย ไม่เอาเปรียบ และดีต่อสุขภาพแล้ว ยังต้องมีแนวทางที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งจากแนวคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น หมดยุคที่จะขายของถูกกับตลาดอะไรก็ได้ จากนี้ไปเราต้องการโฟกัสที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ทั้งมีรายได้สูง และต้องมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพกายใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะยินดีจ่ายเงินเพิ่มให้กับคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการ สทท. จะนำแนวคิด กินดี อยู่ดี ออกกำลังกายดี และแบ่งปันสิ่งดีๆ จาก Happy Model เข้าไปปรับใช้กับผู้ประกอบการในภูเก็ตเพื่อเป็นต้นแบบ และจะเชื่อม Supply Chain ในพื้นที่ไปให้ถึงเกษตกร ชุมชน และผู้ประกอบการ SME ทั้งในและนอกเกาะ

           ด้านคุณวิชิต ประกอบโกศล รองประธาน สทท. ด้านตลาดต่างประเทศ ได้กล่าวนำเสนอกลุ่มตลาดที่น่าสนใจว่า ในด้านตลาดเป้าหมายสำหรับการเปิดเกาะภูเก็ตในครึ่งปีหลัง  ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำและได้รับการฉีดวัคซีนจนถึงปัจจุบันในอัตราสูง และคาดว่าภายในช่วง 3 เดือนจากนี้ไปตัวเลขผู้รับวัคซีนครบแล้วในตลาดเหล่านี้จะสูงขึ้นอีกมาก จากการประมาณขั้นต่ำคาดว่าประเทศไทยจะสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเฉพาะในพื้นที่ภูเก็ตไม่น้อยกว่า 105,000 ล้านบาท

            ทางด้าน รศ. ผกากรอง เทพรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวิชัย กล่าวรายงานว่าผู้ประกอบการคาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2564 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะดีกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากมีเทศกาลสำคัญๆ หลายเทศกาล ส่วนภาคกลางเป็นภูมิภาคที่คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวต่ำที่สุดเนื่องจากยังมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าภูมิภาคอื่น ในไตรมาส 1/2564 ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการเปิดบริการตามปกติลดลงเหลือร้อยละ 67  โดยลดลงจากไตรมาส 4/2563 ร้อยละ 18  ปิดกิจการชั่วคราวร้อยละ 14 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2563 ร้อยละ 4 และมีการปิดกิจการถาวรประมาณร้อยละ 3 เท่าเดิม นอกจากนี้พบว่าในไตรมาสนี้ สถานประกอบการร้อยละ 60 มีการลดจำนวนพนักงาน โดยเหลือพนักงานอยู่ประมาณร้อยละ 52 และร้อยละ 67 มีการลดเงินเดือนหรือค่าจ้าง โดยลดค่าจ้างลงประมาณ ร้อยละ 30  ด้านผลประกอบการพบว่าธุรกิจโรงแรมที่พักร้อยละ 83  ธุรกิจบริการขนส่งร้อยละ 73 บริษัทนำเที่ยวร้อยละ 97 และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นร้อยละ 90 มีรายได้ไม่เกินร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงปกติ สำหรับตลาดไทยเที่ยวไทยเมื่อเทียบจำนวนครั้งพบว่า ในปี 2562 คนไทยมีการเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดโดยเฉลี่ย 3.25 ครั้งต่อคนต่อปี  โดยมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 4,950 บาทต่อคนต่อทริป และคาดว่าในปี 2564 นี้ จะมีการเดินทางท่องเที่ยวโดยเฉลี่ย 2.0 ครั้งต่อคนต่อปี และมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 2,844 บาทต่อคนต่อทริป 

              นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวปิดท้ายว่า จากวันนี้ไปท่องเที่ยวจะกลับมาช่วยประเทศได้อีกครั้ง แม้ว่าจะมีอีกหลายท่านหลายสำนักคิดจะยังคงเชื่อว่าเราต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการกลับมาสร้างรายได้เหมือนเดิม แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงการเรารู้ถึงกระแสความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เหมือนน้ำเต็มเขื่อน รอเวลาที่จะมีการเปิดการเดินทาง และมั่นใจมากว่าขอเพียงเราสามารถจัดระบบการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัยได้จริง ประเทศไทยจะเป็นเป้าหมายแรกที่ทุกประเทศจะมุ่งมาท่องเที่ยว ทั้งนี้ยังคงต้องการความชัดเจนจากภาครัฐในการประกาศการเปิดภูเก็ตในวันที่ กรกฎาคมนี้อย่างเป็นทางการ โดยควรประกาศก่อนสงกรานต์นี้เพื่อให้ทุกฝ่ายมีเวลาในการเตรียมการ และจากประสบการณ์ที่ภาคท่องเที่ยวต้องเจอกับเหตุไม่คาดฝันอยู่ตลอด ควรใช้โอกาสนี้ในการเริ่มเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเข้ากองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในพ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เพื่อไว้ใช้ดูแลนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวและใช้ประคองผู้ประกอบการในภาวะวิกฤติ ...

 

 

กิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม

กิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม





           นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้แก่ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่า ทททท. ด้านสินค้าและบริการ ร่วมประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม”  ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564

 

            สงกรานต์แต่งดอก ออกเที่ยว แต่งไทยไปเที่ยว ฉลองปีใหม่ไทยตามเอกลักษณ์ท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันหยุดยาว ในวันที่ 10-15 เมษายน 2564 เพื่อใช้โอกาสนี้กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ กระจายรายได้ไปสู่ชุมชนและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมสงกรานต์แบบ ปลอดภัย ประเพณี ประหยัด ในรูปแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุข และมาตฐาน SHA อย่างเคร่งครัด 


          ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สรงน้ำพระพุทธมหานวนาคปฏิมากร ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกปักรักษาประเทศชาติและประชาชนให้อยู่ร่วมเย็นเป็นสุข ในการนี้คณะรัฐมนตรีได้ถือโอกาสรดน้ำขอพรท่านนายก เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในเทศกาลปีใหม่ไทย และขอให้ท่านนายกนำทีมประเทศไทยเอาชนะทุกอุปสรรคไปได้ด้วยดี 




สงกรานต์ 2564 ริน รด พรม ใส่หน้ากากไม่สาดน้ำ สงกรานต์วัฒนธรรม

 credit pic : สำนักนายก , ททท













 






ททท. ลำปาง ขอเชิญเที่ยวงาน “สลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง พ.ศ. 2564” สุขก๋าย เย็นใจ๋ ปลอดภัย ไร้โควิด–19 ระหว่างวันที่ 10–13 เมษายน 2564

ททท. ลำปาง ขอเชิญเที่ยวงาน “สลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง พ.ศ. 2564” สุขก๋าย เย็นใจ๋ ปลอดภัย ไร้โควิด–19 ระหว่างวันที่ 10–13 เมษายน 2564

       นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลำปาง กล่าวว่า การจัดงานสลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง ปี 2564 เป็นความร่วมมือของจังหวัดลำปาง โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง เทศบาลนครลำปาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลำปาง หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง รวมทั้งเครือข่ายวัฒนธรรมในจังหวัดลำปาง ร่วมกันจัดขึ้น

     งานสลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง ปี 2564 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–13 เมษายน 2564 ณ ลานกิจกรรมพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้เมืองลำปาง (มิวเซียมลำปาง) ในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) ตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อ โควิด-19 ของภาครัฐ

       โดยจะมีพิธีเปิด “ข่วงแก้วเวียงละกอน” ในวันที่ 10 เมษายน 2564 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ภายในข่วงแก้วเวียงละกอน ประกอบด้วยกิจกรรมสาธิตภูมิปัญญาจากปราชญ์ท้องถิ่น สรงน้ำพระ ก่อเจดีย์ทราย การแสดงและการละเล่น กาดหมั้วคัวแลง พร้อมด้วยการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมจากทั้ง 13 อำเภอ ซึ่งจัดแสดง วันที่ 10–12 เมษายน 2564

        และในช่วงเย็น ขอเชิญทุกท่านร่วมพิธีเปิดงาน “สลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง ปี 2564” พบกับการแสดงแสง สี เสียง ชุดสลุงหลวง ปีใหม่เมืองนครลำปาง และการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนาที่งดงาม

         วันที่ 11 เมษายน 2564 จะมีการประกวดทำแกงฮังเลดั้งเดิมและการประกวดตกแต่งขันโตกอัตลักษณ์พื้นถิ่นลำปาง โดย ททท.สำนักงานลำปาง และประกวดบ่าวน้อย สาวน้อยปี๋ใหม่เมืองเวียงละกอน ประจำปี 2564 พร้อมทั้งชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านล้านนา 

         วันที่ 12 เมษายน 2564 ในช่วงเช้า จะมีพิธีอัญเชิญพระแก้วดอนเต้าจากวัดพระธาตุลำปางหลวงเข้าสู่ตัวเมืองนครลำปาง และแห่รอบเมืองลำปาง เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา

          ส่วนช่วงบ่าย ขบวนแห่สลุงหลวง ตามแบบเบ้าโบราณของจังหวัดลำปางที่มีการสืบต่อกันมากว่า 30 ปี ที่มีการรวบรวมน้ำทิพย์จากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 13 อำเภอ โดยเริ่มขบวนจากวัดปงสนุก ใช้เส้นทางข้ามสะพานรัษฎาภิเศก เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทิพย์ช้าง เลี้ยวซ้ายผ่านห้าแยกหอนาฬิกา และใช้เส้นทางตลอดถนน  บุญวาทย์ และสิ้นสุดขบวนที่บริเวณลานศาลหลักเมือง โดยในช่วงการเดินขบวนประชาชนที่อยู่ตลอดเส้นทางสามารถนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาร่วมใส่ในสลุงหลวงเพื่อสรงน้ำพระแก้วดอนเต้าได้ และขอความร่วมมือประชาชนตลอดทั้งสองข้างทาง งดการสาดน้ำ ปะแป้ง และสวมแมสก์ตลอดเวลา 

     และในช่วงเย็นจะมีพิธีเจริญ           พระพุทธมนต์ และพิธีสรงน้ำองค์พระแก้วดอนเต้า โดยมีเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส 

        วันที่ 13 เมษายน 2564 เวลาเช้าตรู่ จะเป็นการร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง ณ ลานศาลหลักเมือง  

         ช่วงสาย ร่วมพิธีสรงน้ำพระแก้วดอนเต้าและพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของนครลำปาง พร้อมทั้งสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวลำปาง 

       ช่วงบ่าย เชิญชมขบวนแห่จุมพระศักดิ์สิทธิ์นครลำปาง โดยเทศบาลนครลำปาง ร่วมสรงน้ำพระแก้วดอนเต้า และพระสำคัญของจังหวัดลำปาง ขบวนป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองนครลำปาง โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง พบกับขบวนนักษัตร ปู่สังขาร ย่าสังขาร เทพีสงกรานต์ ขบวนรถม้า ขบวนป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมืองจากทั้ง 13 อำเภอ และขบวนหาบแก้วเวียงละกอนจากททท.สำนักงานลำปาง โดยขบวนเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าร้านเยื้อนสยาม ไปตามถนนประสานไมตรี เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกดอนปาน เข้าสู่ถนนฉัตรไชยเลี้ยวขวาที่ห้าแยกหอนาฬิกา ตามถนนบุญวาทย์ สิ้นสุดขบวนแห่บริเวณหน้าโรงเรียนเทศบาล 3

      การจัดงานสลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง ปี 2564 จัดขึ้นในรูปแบบของการจัดงานประเพณีวิถีใหม่ จังหวัดลำปาง จึงขอความร่วมมือประชาชนชาวจังหวัดลำปาง และนักท่องเที่ยว ช่วยกันรักษา มาตรการ D–M–H–T-T คือแนวทางปฎิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้ในการชะลอการระบาดของโควิด-19 โดย D : Distancing คือเว้นระยะห่างระหว่างกัน M : Mask Wearing คือสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand Washing คือล้างมือบ่อย ๆ T : Testing คือตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้างาน และ T : Thai Cha Na คือเช็กอินผ่านแอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ทุกครั้ง เมื่อเข้าไปในสถานที่จัดงาน

ภาพ...งานสลุงหลวงปี 2561 โดยคุณ Pornphen PP

โครงการไหว้พระธาตุเมืองเหนือเสริมสิริมงคล ชมโบราณสถาน เรียนรู้ตำนานชามตราไก่ ร่วมสืบชะตาแบบล้านนา

โครงการไหว้พระธาตุเมืองเหนือเสริมสิริมงคล

ชมโบราณสถาน  เรียนรู้ตำนานชามตราไก่ 

ร่วมสืบชะตาแบบล้านนา

ภาพ / เรื่อง... .อนุรักษ์ มงคลชัยประทีป / พรพรรณ ท้าวกาหลง

การไหว้พระธาตุปีเกิดของคนภาคเหนือ เป็นความเชื่อของคนไทย ที่เชื่อกันว่า แต่ละคนที่เกิดมาย่อมมีพระธาตุประจำปีเกิด เช่น คนเกิดปีชวด (หนู) ได้แก่ พระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่ ปีฉลู (วัว) ได้แก่ พระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง ปีขาล (เสือ) ได้แก่ พระธาตุช่อแฮ่ จ.แพร่ ปีเถาะ (กระต่าย) ได้แก่ พระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน ปีมะโรง(งูใหญ่)ได้แก่ พระธาตุเจดีย์วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ได้แก่ พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา อินเดีย (ซึ่งมีจำลองมาอยู่ที่วัดโพธารามมหาวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่) ปีมะเมีย (ม้า) ได้แก่  พระบรมธาตุ จ.ตาก ปีมะแม (แพะ) ได้แก่ พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ปีวอก (ลิง) ได้แก่ พระธาตุพนม จ.นครพนม  ปีระกา (ไก่) ได้แก่ พระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน ปีจอ (หมา) ได้แก่ พระธาตุเกษแก้วจุฬามณี อยู่บนสรวงสวรรค์ (จำลองมาไว้ที่วัดเกตุการาม จ.เชียงใหม่) และปีกุน (หมูหรือช้าง) ได้แก่พระธาตุดอยตุง จ.เชียงราย ในแต่ละปี จึงขอให้มีสักครั้ง ได้ไปกราบสักการะพระธาตุประจำปีเกิด เพื่อความเป็นสิริมงคล


      

     การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคเหนือ ร่วมกับ ททท. สำนักงานภาคเหนือทุกจังหวัด ได้แก่ ททท.สำนักงานลำปาง นำโดยนายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการฯ ททท.สำนักงานนครสวรรค์ นำโดยนายอนันต์ สีแดง ผู้อำนวยการฯ นำนักท่องเที่ยวเที่ยวจังหวัดลำปางและจังหวัดลำพูน ในโครงการไหว้พระธาตุเมืองเหนือเสริมสิริมงคล โดยมีนายกฤษณะ แก้วธำรงค์ (รองผู้ว่าการ ททท.ด้านตลาดในประเทศ) คุณสรัสวดี อาสาสรรพกิจ (ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ) ร่วมพิธีสืบชะตาหลวง พร้อมกับ คณะนักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 400 คน ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง และถือเป็นารเปิดโครงการ “ไหว้พระธาตุเมืองเหนือเสริมสิริมงคล”   พระธาตุลำปางหลวง พระธาตุประจำปีฉลู  ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ  มีกำแพงล้อมรอบ  เมื่อเดินขึ้นบันใดนาค ผ่านซุ้มประตูโขงไปเป็นวิหารหลวงที่ภายในบรรจุมณฑปพระเจ้าล้านทอง ที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังก็เป็นองค์พระธาตุลำปางหลวง  เจดีย์ทรงกลมแบบล้านนาก่ออิฐถือปูน  ภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุน ฐานเป็นบัวลูกแก้วสี่เหลี่ยมย่อมุม ภายในบรรจุพระเกศาและพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง  บริเวณรั้วรอบองค์พระธาตุยังมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศ  เมื่อเดินไปทางซ้ายก็จะเป็นวิหารน้ำแต้มที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริด ภายในเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม กำแพงด้านพระประธานเขียนภาพลายทองบนพื้นรักแดง มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุด และหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย ปัจจุบันภาพลบเลือนไปมาก  และยังมีวิหารพระพุทธที่สร้างขึ้นคู่กับวิหารน้ำแต้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัยลักษณะงดงามมาก ส่วนวิหารพระเจ้าศิลา เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าศิลา เป็นพระพุทธรูปพระนาคปรกเก่าแก่ที่สุดในกรุงละโว้สมัยนั้น  รวมทั้งรอยพระพุทธบาทไม้ศิลปะล้านนา เป็นรอยพระพุทธบาท 4 รอย สลักรอบพระบาทเว้าเข้าไปในพื้นไม้ ร่องรอยบนพื้นรักเป็นลวดลายต่าง ๆ และที่สำคัญคือเงาพระธาตุและพระวิหารหัวกลับ ที่เกิดจากการหักเหของแสงในซุ้มพระบาทที่ สร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ถือว่าเป็น UNSEEN เมืองไทย แต่ซุ้มพระบาทนี้ห้ามผู้หญิงขึ้น

ชมความมหัศจรรย์ของพระธาตุหัวกลับแล้ว ก็เดินทางไปวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม วัดเก่าแก่อายุนับ 1,000 ปี ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) เมื่อเดินเข้าไปในวัดจะเห็นพญาธาตุ มณฑปศิลปะแบบพม่า ประดับด้วยกระจกมีลวดลายสีสันงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูปบัวเข็ม ซึ่งจำลองมาจากพม่า  ถัดไปเป็นองค์พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ตามด้วยวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่มีอายุเก่าแก่พอๆ กับวัด  นอกจากนี้ยังมี วิหารหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย,  วิหารพระเจ้าทองทิพย์ ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์ ศิลปะสมัยเชียงแสน  และวิหารลายคำสุชาดาราม ที่มีจิตรกรรมฝาผนังลวดลายทองงดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแส




เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง ไปชมกรรมวิธีผลิตชามตราไก่ที่พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี เรียนรู้ประวัติชามตราไก่ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยชาวจีนแคะและชาวจีนแต้จิ๋ว  มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชามขาวธรรมดา ไม่มีลาย เมื่อผลิตเสร็จได้ส่งมาเขียนลายสีเผาเคลือบที่ ต.ปังโคย  ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อค้าชาวจีนที่อยู่ตลาดเก่า ถ.ทรงวาด จึงสั่งนำเข้าชามไก่มา ต่อมาชาวจีนที่เคยทำชามไก่ได้ย้ายถิ่นฐานมาตั้งบ้านเรือนในไทย  ได้ก่อสร้างโรงงานและเตาเผาชามตราไก่ขึ้น ซึ่งชามไก่ช่วงนั้นมีไม่มากนัก เนื่องจากขาดดินคุณภาพดี  จนถึงปี พ.ศ.2498 อาปาอี้ (ซิมหยู) แซ่ฉิน ได้ค้นพบแร่ดินขาวครั้งแรกที่บ้านปางคำ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง จึงได้ก่อตั้งโรงงานเซรามิคแห่งแรกของลำปางเมื่อ พ.ศ.2508 เพื่อผลิตชามตราไก่ ด้วยกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ จนถึงการเผาด้วยเตามังกร (เตาฟืนโบราณ) ปัจจุบันเตามังกรโบราณนี้ได้อนุรักษ์ไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เซรามิค เมื่อเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ เราจะเห็นวิธีทำชามตราไก่ทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่นำดินมาขึ้นรูป การวาดลายบาชาม จนถึงการเคลือบผิวชามแล้วนำไปเผา ที่นี่ยังมีชามไก่จิ๋วขนาดเล็กที่สุดในโลก คือเล็กกว่าเมล็ดข้าวเปลือกมาตั้งโชว์ด้วย ต้องมองผ่านแว่นขยายจึงจะเห็นลวดลายอันสวยงามบนชาม และที่สำคัญคือเราได้เห็นเตาเผามังกรโบราณที่มีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งยังคงสภาพเดิมอยู่


หลังเรียนรู้วิธีทำชามตราไก่แล้ว พวกเราก็เดินทางไปยังสะพานรัษฎาภิเศก ซึ่งตอนแรกนั้นเป็นสะพานไม้สร้างในสมัยเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต  เจ้าของนครลำปางองค์สุดท้าย  ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  5  นับเป็นสะพานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเลยทีเดียว คือยาวถึง  120  เมตร เพื่อเชื่อมการปกรองแขวงหัวเวียง (สวนดอก) กับแขวงเวียงเหนือเข้าด้วยกัน  อีกทั้งเข้าใจว่าชื่อ รัษฎาภิเศก” นี้มีที่มาจากการสร้างสะพานเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นที่ระลึกในงานพระราชพิธีรัชดาภิเษกรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้พระราชทานนาม  รัษฎาภิเศก  ให้กับสะพานแห่งนี้  ต่อมาสะพานพังลง จึงได้มีการสร้างสะพานขึ้นใหม่ เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กทาสีขาวโดดเด่นสะดุดตาด้วยรูปทรงโค้งคันธนูรวม  4  โค้ง  ทั้งยังมีสัญลักษณ์ที่สื่อความ ได้แก่ พวงมาลายอดเสารำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ครุฑหลวงสีแดงบ่งบอกถึงตราสัญลักษณ์แห่งแผ่นดินสยามสมัยรัชกาลที่ 6 ไก่หลวงหรือไก่ขาวคือสัญลักษณ์ประจำนครลำปาง  สื่อถึงสมัยเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต และคำว่า  มีนาคม 2460”  บอกถึงวันที่ สะพานนี้เป็นสะพานรอดพ้นการทิ้งระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  มาได้  บริเวณนี้ยังมีถนนสายวัฒนธรรมลำปาง ให้เดินเล่นถ่ายภาพเป็นที่ระลึก มีภาพเขียนกราฟิตี้ ลำปางสตรีทอาร์ต (โครงการริเวอร์ สตรีทอาร์ต) ตามแคมเปญ ลำปาง ปลายทางฝัน” ที่มีศิลปินกว่า 20 ชีวิต มาช่วยกันร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะตามแนวกำแพงบ้านเรือน เริ่มจากทางลงสะพานรัษฎาฯ และกาดกองต้า ถนนคนเดินเก่าแก่ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเมืองลำปาง ซึ่งภาพสตรีทอาร์ตแฝงไปด้วยเรื่องราวความน่ารัก รวมถึงภาพที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของความเป็นจังหวัดลำปางได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นภาพของก๋วยเตี๋ยวซึ่งใส่อยู่ในชามตราไก่ รถม้าลำปาง และภาพเด็กถือลูกโป่ง





                สนุกสนานถ่ายภาพกับภาพเขียนแล้ว ก็เดินทางไปชมความงามของวัดปงสนุก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอนันตยศ ซึ่งเป็นราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย ( จ.ลำพูนในปัจจุบัน ) เมื่อครั้งเสด็จมาสร้างเขลางค์นคร ( จ.ลำปางในปัจจุบัน) ที่มาของชื่อวัดนี้มีบางตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2364 เมืองลำปางและเมืองเชียงใหม่ยกทัพเข้าตีเมืองเชียงแสน ชาวเมืองได้ถูกต้อนมายังฝั่งเวียงเหนือของนครลำปาง โดยหนึ่งในกลุ่มชนนั้นก็มีชาวปงสนุกรวมอยู่ด้วย และขณะเดียวกันชาวเมืองพะเยาก็ได้อพยพมายังฝั่งเวียงเหนือเพื่ออาศัยอยู่เช่นเดียวกัน ต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบ ชาวพะเยาก็ย้ายกลับบ้านเกิดของตน เหลือไว้แต่เพียงชาวปงสนุกที่ยังคงอยู่ ดังนั้นจึงได้เรียกชื่อวัดและชื่อหมู่บ้านตามเผ่าพันธุ์ของตนเอง และคำว่า “ปงสนุก” นั้นก็หมายถึงพงศ์เผ่าแห่งความรื่นเริง   แต่เดิมวัดนี้มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีพระภิกษุและสามเณรบวชเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วนคือ วัดปงสนุกเหนือกับวัดปงสนุกใต้ เพื่อให้ช่วยกันดูแลได้อย่างทั่วถึง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วัดปงสนุกมีความพิเศษตรงที่เราจะได้เห็นเหมือนว่ามีวัด 2 วัดตั้งอยู่ในเขตใบพัทธสีมาเดียวกัน ซึ่งพื้นที่ภายในวัดได้มีการถมดินไว้ระหว่างพื้นที่ของวัดทั้งสองเรียกว่า ม่อนดอย  เปรียบได้กับการจำลองเขาพระสุเมรุขึ้นมา โดยที่พื้นที่ด้านบนนี้จะมีพระเจดีย์ศรีจอมไคล วิหารพระนอน และวิหารพระเจ้าพันองค์ลักษณะเป็นทรงโถงจตุรมุข อันเป็นเอกลักษณ์แห่งเดียวในประเทศไทยตั้งอยู่ข้างบนนั้น ซึ่งวิหารพระเจ้าพันองค์หลังนี้ได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมดีเด่นจากยูเนสโก้เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา ( Award of Merit Wat Pongsanuk; Asia-Pacific Heritage Awards for Culture Herritage Conservation from UNESCO Year 2008 ) โดยวิหารพระเจ้าพันองค์หลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ สร้างด้วยไม้ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศ ตัวอาคารแสดงถึงการรวบรวมทั้งงานด้านจิตรกรรม สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย จีน พม่า ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม โครงสร้างของวิหารมีลักษณะเป็นมณฑปเปิดโล่งตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ พระพักตร์แต่ละองค์ก็หันออกไปยังทิศทั้งสี่ ในส่วนของหลังคามีลักษณะซ้อนกันสามชั้นซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม รวมไปถึงเสาสี่เหลี่ยมที่ค้ำตัววิหารก็มีลวดลายอันน่าวิจิตรปรากฏให้เห็นอยู่แทบทุกต้น และบริเวณด้านบนรอบในของตัววิหารนั้นได้รับการประดับด้วยพระพิมพ์องค์เล็กจำนวนมากถึง 1,080 องค์ นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วิหารพันองค์ ที่ใช้เรียกกันอย่างติดปาก ด้วยความเป็นวัดเก่าที่มากด้วยความสวยงาม แล้วก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น ห้องเก็บ หีบธรรม เก่า ซึ่งเป็นตู้เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎก หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า “หีดธรรม” ซึ่งมีการสันนิษฐานกันว่าเพื่อไม่ต้องการให้พ้องกับคำว่าไม้หีบที่ใช้หนีบปลาหรือเนื้อสัตว์ต่างๆ กระทั่งได้คำเรียกอย่างที่ได้กล่าวไปนั่น







วันรุ่งขึ้นพวกเราก็อำลา จ.ลำปาง เดินทางสู่ จ.ลำพูน เดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี  ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนางจามเทวี ผู้เป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริกุญชัย ก่อนเดินทางไปวัดพระบรมธาตุหริกุญชัยวรมหาวิหาร  เพื่อสักการะพระธาตุหริกุญชัย พระธาตุประจำปีระกา  เราจะต้องเดินผ่านสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเด่นเป็นสง่า  เข้าซุ้มประตูวัดเราก็จะเห็นวิหารหลวงที่ประดิษฐานพระแก้วขาว พระเสตังคมณีศรีเมืองหริกุญชัย ประทับนั่งอยู่เหนือบุษบกที่แกะสลักลงรักปิดทองอย่างสวยงาม  ถัดไปก็พบองค์พระบรมธาตุหริกุญชัย  เป็นเจดีย์เก่าแก่ทรงลังกาที่ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันมี ธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตร    และเมื่อเดินมาทางขวาก็จะเป็นสุวรรณเจดีย์ (ปทุมวดีเจดีย์) เจดีย์ทรงปราสาทสร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ ภายในซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปดินเผาประทับยืน ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่องค์ ภายในบรรจุพระเปิม พระพิมพ์ที่มีชื่อเสียงของลำพูน  นอกจากนี้ยังมีหอไตร สถานที่เก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎกครบทั้ง  85,000  พระธรรมขันธ์ พร้อมทั้งอรรถกถาฎีกาและอนุฎีกา รวมทั้งสิ้น 420 พระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ใบลานทั้งหมดวิหารพระละโว้ ที่ภายในประดิษฐานพระละโว้,  วิหารพระพุทธ ที่ประดิษฐานพระพุทธ พระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย,  วิหารพระทันใจ ประดิษฐานพระทันใจ  และวิหารพระบาทสี่รอย ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่มีถึง รอยซ้อนกัน






                                ปิดท้ายทริปนี้ที่วัดจามเทวี  เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ภายในวัดเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์สุวรรณ ที่บรรจุพระอัฐิของพระนางจามเทวี  เป็นเจดีย์ทรงปราสาทแบบหริกุญชัย  มีพระพุทธรูปปางประทานพรประทับยืนเป็นชั้น ๆ   รวม  60  องค์  แต่เดิมยอดเจดีย์ห่อหุ้มด้วยทองคำ  ต่อมายอดพระเจดีย์หักหายไป  และยังมีรัตนเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่ทางขวาของพระวิหาร เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ที่แต่ละเหลี่ยมประดิษฐานพระพุทธรูปยืนก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ไว้ในซุ้มจระนำ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ครูบาศรีวิชัย ที่รวบรวมเครื่องอัฐบริขาร รวมทั้งหุ่นขี้ผึ้งของครูบาศรีวิชัยด้วย

   

ป่อเต็กตึ๊งเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาส่งมอบไออุ่น แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวเชียงราย ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร

ป่อเต็กตึ๊งเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาส่งมอบไออุ่น แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวเชียงราย ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร          ...