วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

สรรค์สร้างไทย อนาคตไทย

สรรค์สร้างไทย  อนาคตไทย

                  นักวิชาการ สถาบันเครือข่ายไทยสร้างสรรค์ (สคทส.) Thai Sangsan Institute มองปัญหาสังคมวันนี้คนที่มีบทบาทหน้าที่ ”ขาดจิตสมนึกความรับผิดชอบสาธารณะ”  หรือไม่มี Accountability เดินหน้าสร้างภาวะผู้นำให้ ”New Gen” ในโครงการ Young Political Leadership มีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นผู้นำมิติใหม่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสูง พร้อมเปิดตัวประธานคนรุ่นใหม่ 4 ภาค (โปรเจ็คภาวะผู้นำรุ่นใหม่)  

                  นายสมชาย  พหุลรัตน์  ประธานสถาบันเครือข่ายไทยสร้างสรรค์ (สคทส.) Thai Sangsan Institute กล่าวถึงการเดินหน้าโครงการ ”สรรค์สร้างไทย.....อนาคตไทย” ที่ประกอบด้วยคณะกรรมการที่มีจิตอาสา จะรวมกันทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน อันประกอบด้วย ศ.ดร.สุรพล  บุญประถัมภ์ นักวิชาการด้านศาสนา, Prof.อิน  นฤหล้า นักวิชาการนานาชาติ (Program Leadership) และอดีตคณะบริหารธุรกิจเอแบค, อ.สุพัฒก์  ชุมช่วย นักวิชาการ (GTO), Prof.ปีแอร์ เดอลาลองด์  ,  Prof.สก็อต  บัดเล่ย์,  อาจารย์นิดาวรรณ เพราะสุนทร (ผอ.หลักสูตรนิติฯ ม.รังสิต) , พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช “สารวัตรแรมโบ้” ประธานมูลนิธิต่อต้านป้องกันอาชญากรรมและยาเสพติด (หนึ่งในแกนนำรวมพลังทำดีเพื่อแผ่นดินที่ไปจัดตั้งพรรคสร้างสรรค์ Creativity Party) รวมท้งนักวิชาการอีกหลายสาขาที่มารวมพลังกันสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ทางการเมืองให้มีภาวะผู้นำที่ดีในอนาคต

         แม้ว่าโลกทุกวันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกาวิวัฒน์และเป็นโลกในยุคเทคโนโลยี่ และเอไอ AI (หุ่นยนต์) แต่สำหรับประเทศไทยของเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต้องนึกถึง 3 สถาบันหลักไว้ให้แน่นก็คือ ชาติ ศานสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคมฯ นี้ทางสถาบันฯ จะเปิดตัวเยาวชนคนรุ่นใหม่ Young Political Leadership ทั้ง 4 ภาค  ที่จะมารวมกันขับเคลื่อนทำในสิ่งดีๆ ในแผ่นดินเป็นพลังรุ่นใหม่ของสถาบันฯ และปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ต่อสังคมให้สูงมากๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อจะไม่ให้เขาไปคิดหรือทำในสิ่งที่ผิดๆ  ถ้าจิตสำนึกของเขาถูกปลูกฝังให้คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อส่วนรวมต่อประเทศชาติแล้ว เราเชื่อว่าเขาจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 

                       สถาบันฯ เรามีนักวิชาการที่มีความรู้และประสบการณ์การอบรมองค์กรระดับนานาชาติมาแล้ว ในการที่จะมาร่วมกันผลักดันให้เกิดพลังของคนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมกันสร้างและทำในสิ่งที่ดีๆี่ ในสังคมและประเทศชาติ และเดินไปพร้อมกับคนที่อาวุโสกว่าไปด้วยกัน เราจะไม่ขัดแย้งกัน...อย่างผมและท่านอาจารย์สุพัฒก์และอีกหลายๆ ท่านได้กล่าวในหลายเวทีที่ฝึกอบรมว่า ”คนส่วนหนึ่ง..หรือคนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในบ้านเมืองของเรา บางที (บางคน) ขาดภาวะผู้นำ) และขาดจิตสำนึกความรับผิดชอบสาธารณะ หรือ Accountability ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าในจิตส่วนลึกของคนๆ หนึ่ง ถ้ามีจิตที่มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะต่อสังคม การตัดสินใจที่จะทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามก็มักจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเรามองปัญหาของสังคม หรือแม้กระทั่งเรื่องของการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหา ประชาชนยอมรับไม่ได้ก็เพราะสิ่งที่เกิดขี้นมานั้นไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา  เล่นพรรคเล่นพวก จึงเกิดความไม่เป็นธรรม ความรู้สึกของคนจึงยอมรับไม่ได้  ซึ่งพวกเรานักวิชาการในสถาบันฯ ทุกคนมองเห็นว่าเราต้องมาปลูกฝังและสร้างคนรุ่นใหม่ที่เขาจะต้องมามีบทบาททางสังคมหรือประเทศชาติ หรือบางคนในอนาคตอาจจะมาเป็นนักการเมือง  ให้บุคคลเหล่านี้ได้มีจิตความรับผิดชอบสาธารณะต่อสังคมและต่อประเทศชาติให้สูงมากๆ  ยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพื่อให้สังคมไทยเป๋นสังคมที่มีความสุข เราต้องรวมมือกันสร้างสรรค์ สรรสร้างสิ่งดีๆ เพื่อประเทศไทยของเรา.

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563

MY CAR Service PLUS บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง โตก้าวกระโดด คาดสิ้นปีขึ้นครองตลาด อันดับ 1

MY CAR Service PLUS บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง โตก้าวกระโดด  คาดสิ้นปีขึ้นครองตลาด อันดับ 1 

              นายอัศนัย แท่นแก้ว กรรมการบริษัท บริษัทจี-เพาเวอร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้ให้บริการรับประกันเครื่องยนต์ และการบริการช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับรถยนต์ 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศ ภายใต้แบรนด์ MY CAR Service PLUS เปิดเผยว่า จี-เพาเวอร์ กรุ๊ป ได้วางแผนที่จะรุกตลาดการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับผู้ใช้รถให้มากขึ้น หลังจากบริการ MY CAR Service PLUS ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้รถยนต์ ซึ่งสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว จากผลกระทบของภาวะโควิด19 (COVID19) โดยบริษัทฯคาดการณ์ว่า ในสิ้นปีนี้จำนวนผู้ใช้บริการ MY CAR Service PLUS จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 40% ส่วนในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าที่เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการอีกประมาณ 150,000 คัน

           MY CAR Service PLUS การให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับผู้ใช้รถ ถือเป็นบริการใหม่สำหรับผู้ใช้รถภายในประเทศ ที่ให้การช่วยเหลือผู้ใช้รถในทุกกรณี หากรถไม่สามารถขับเคลื่อนได้ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ซึ่งแตกต่างจากการคุ้มครองจากประกันภัย ที่จะให้การช่วยเหลือเมื่อรถประสบอุบัติเหตุเท่านั้น จุดเด่นของบริการช่วยเหลือฉุกเฉินของบริษัท คือ เครือข่ายรถยก-รถสไลด์ ที่มีอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศกว่า 3,000 คัน และพร้อมให้การช่วยเหลือผู้ใช้รถตลอด 24 ชั่วโมง ในระยะเวลาที่รวดเร็ว หลังจากที่ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านทาง Call Center หรือ Application 

            ส่วนปัจจัยที่ทำให้บริการ MY CAR Service PLUS เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของตลาดรถยนต์มือสอง ซึ่งนอกจากราคารถที่ถูกกว่าการซื้อรถยนต์ใหม่แล้ว อัตราดอกเบี้ยของการเช่าซื้อรถยนต์มือสองยังได้ลดต่ำลง จนอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับการซื้อรถยนต์ใหม่ ทำให้ผู้ใช้ตัดสินที่จะซื้อรถยนต์มือสองมากขึ้น โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์มือสองภายในประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจยังทำให้การผู้ใช้รถหันมาใช้ประกันชั้น 2หรือ 3 แทนการซื้อประกันชั้น 1 และซื้อบริการ MY CAR Service PLUS เสริมเพื่อป้องกันความเสี่ยง

ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับกับจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น บริษัทฯ ได้เตรียมแผนงานที่มุ่งเสริมสร้างศักยภาพ ทั้งในส่วนของให้การบริการ และด้านการตลาด โดยในส่วนของการให้บริการ บริษัทได้เพิ่มจำนวนรถยก-รถสไลด์ ในทุกพื้นที่ รองรับกับฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เน้นการยกระดับ และการสร้างมาตราฐานให้เทียบเท่าระดับสากล และการพัฒนา Application อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของการให้การความช่วยเหลือ และกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ ทั้งการให้ความรู้ และสันทนาการ

                  ส่วนด้านการตลาดนั้น นอกจากการสร้างการรับรู้ในแบรนด์แล้ว บริษัทได้มุ่งเน้น และพัฒนา Digital Marketing เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้รถสามารถตัดสินใจ และซื้อบริการได้อย่างรวดเร็ว

                   MY CAR Service PLUS เป็นบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ให้กับผู้ใช้รถเมื่อเกิดปัญหาระหว่างการใช้งาน จนไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ เช่น เครื่องยนต์ดับ น้ำมันหมด ยางแตก หรือไม่สามารถปลดล็อคประตู เป็นต้น หลังได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือ จะมีเจ้าหน้าที่เดินทางไปจุดเกิดเหตุเพื่อให้การช่วยเหลือ แต่หากไม่สามารถเคลื่อนย้ายรถยนต์ได้ จะมีบริการเคลื่อนย้าย โดยมีเครือข่ายรถยก หรือรถสไลด์ที่พร้อมให้การช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสายพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนต่อเนื่อง ในโครงการ“จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ครั้งที่ 1 ลงพื้นที่มอบจักรยานแก่โรงเรียนในชนบททางภาคเหนือ รวม 9 จังหวัด

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสายพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนต่อเนื่อง ในโครงการ“จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ครั้งที่ 1 ลงพื้นที่มอบจักรยานแก่โรงเรียนในชนบททางภาคเหนือ รวม 9 จังหวัด

               มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วยนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย รักษาการผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ และนักสังคมสงเคราะห์ พร้อมทีมงาน กำหนดมอบจักรยาน จำนวน 270 คัน ให้กับโรงเรียนในชนบททางภาคเหนือ ที่มีเยาวชนประสบปัญหาในด้านการเดินทางไปและกลับโรงเรียนด้วยความยากลำบาก ภายใต้โครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ครั้งที่ 1 รวม 9 จังหวัด ระหว่างวันที่ 24 – 27 กันยายน 2563

 
               โดยคณะมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งลงพื้นที่มอบให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนในพื้นที่รวม 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา พิจิตร ลำพูน อุตรดิตถ์ และแพร่ 

               นอกจากนี้ยังมีการมอบหมายให้มูลนิธิผู้ประสานงานในพื้นที่เป็นผู้มอบจำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ โรงเรียนบ้านสะเกิน โรงเรียนบ้านเชียงของ จังหวัดน่าน  โรงเรียนบ้านห้วยโป่ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

               ทั้งนี้เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถใช้จักรยานเดินทางมาโรงเรียนได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน รวมถึงการดูแลรักษาสิ่งของส่วนรวมและใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง โดยเมื่อเด็กนักเรียนจบการศึกษา จักรยานจะถูกส่งต่อให้แก่เด็กนักเรียนในรุ่นต่อไป โดยมีมูลนิธิแต่ละจังหวัดเป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี 

        โดยในวันที่ 26 กันยายน 2563 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยแผนกสังคมสงเคราะห์ มอบจักรยานให้กับโรงเรียนบ้านป่าแฝกใต้ จังหวัดพะเยา และ โรงเรียนบ้านปางเคาะ จังหวัดแพร่   รวม 30 คัน โดยมีผู้แทนจากโรงเรียนต่าง ๆ เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะสมาคมพะเยา  และคณะมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์  เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

และในวันที่ 27  กันยายน  2563  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดลงพื้นที่มอบจักรยานจำนวน 30 คัน ให้กับโรงเรียนบ้านห้วยยาง จ.อุตรดิตถ์ โดยมีผู้แทนโรงเรียน เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์  เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

            โครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ครั้งที่ 1 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดมอบให้กับโรงเรียนในชนบทภาคเหนือ และภาคอีสาน รวม 34 โรงเรียน ดำเนินการมอบจักรยาน จำนวน 700 คัน  คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 875,000 บาท (แปดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) 

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung


ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

อปพลิเคนป่อเต็กตึ๊ง1418

ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉ

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563

DITP ติวเข้มความรู้ส่งออกและพัฒนาสินค้าแก่ 29 ผู้ประกอบการ SMEs และ New Faces สินค้าไลฟ์สไตล์ไทย

DITP ติวเข้มความรู้ส่งออกและพัฒนาสินค้าแก่ 29 ผู้ประกอบการ SMEs และ New Faces สินค้าไลฟ์สไตล์ไทย

     
 

      กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) จัดอบรมหลักสูตร WING: Lifestyle Entrepreneur Incubation Program เพื่อบ่มเพาะศักยภาพและพัฒนาขีดความสามารถจากผู้ประกอบการ SMEs และ New Faces สู่ผู้ส่งออกที่แข็งแกร่ง ผ่านหลักสูตรที่อัดแน่นด้วยความรู้ในการประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ 



อาทิ การพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าไลฟ์สไตล์ กลยุทธ์การตลาด การเจรจาการค้าในงานแสดงสินค้านานาชาติ เป็นต้น 



        โดยกิจกรรมให้คำปรึกษาเชิงลึกซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรมสยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเต็ล กรุงเทพ ได้ทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 29 รายในด้านต่างๆ  ได้แก่ การทำบัญชี ภาษี การเงิน และการจดทะเบียนนิติบุคคล กลยุทธ์ทรัพย์สินทางปัญญา การจดสิทธิบัตรสินค้าไลฟ์สไตล์ทั้งในและต่างประเทศ กฎระเบียบและขั้นตอนการส่งออก 


                                                                                        




นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 มหกรรมช่วยคนว่างงาน คนตกงาน นักศึกษาจบใหม่ กว่า 1 ล้านอัตรา

               พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Job Expo Thailand 2020 พร้อมด้วย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธีเปิดงานในครั้งนี้ ณ บริเวณเวทีกลาง ฮอลล์ 98-99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

      
           ในโอกาสนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวรายงานการจัดงานนี้เพื่อส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่ โดยภาครัฐ วิสาหกิจและเอกชน ส่งเสริมการจ้างงานเพิ่มเติมเพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าว การรักษาการจ้างงานเดิมโดยเน้นในสาขาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19


และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ กิจกรรมการจัดทำฐานช่องทางรวบรวมข้อมูลการจ้างงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วย แพลทฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ด้วยการนำตำแหน่งงานกว่า 1 ล้านอัตรา จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 


โดยตำแหน่งงานว่าง จากกรมการจัดหางานจำนวน 475,725 อัตรา, ตำแหน่งการจ้างงานโดยภาครัฐ จำนวน 101,716 อัตรา, ตำแหน่งงานต่างประเทศ จำนวน 114,433 อัตรา, ตำแหน่งงานโครงการเงินกู้(รออนุมัติ) 287,147 ตำแหน่ง, การจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ จำนวน 260,000 ตำแหน่ง (Co-payment) รวมกว่า 1,239,091 อัตรา มารองรับเพื่อให้คนไทยมีงานทำ 
          จากนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน ใจความว่า “การจัดงานในครั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีการจัดกิจกรรมต่างๆ ตอบสนองกับยุทธศาสตร์ชาติทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคนในทุกมิติ ทำให้วัยแรงงานได้รับยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก” 


พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินเยี่ยมชมโซนต่างๆภายในงาน อาทิ โซนนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย โครงการจิตอาสา 904 โซนประกันสังคม กับการเปิดตัวกิจกรรมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี สำหรับผู้ประกันตนกลุ่มผู้สูงอายุ โซนไทยมีงานทำ ที่จะประชาสัมพันธ์และแสดงศักยภาพความสามารถของแพลทฟอร์มไทยมีงานทำ และโซนนวัตกรรม นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้พร้อมรับมือกับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-curve 


และโซนกิจกรรมรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะให้ก้าวสู่การเป็น Start up เจ้าของของกิจการ และอีกหนึ่งโซน คือ Franchise & Food truck รวมธุรกิจร้านอาหารชื่อดังทั่วไทย มาให้ผู้เข้าชมงานได้เลือกซื้อเลือกชิมและเลือกเจรจาธุรกิจกันได้อีกด้วย
           ภายในงานมีกิจกรรมเด่นๆ  มากมาย อาทิ การเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางแรงงานไทยในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก”
         การเสวนาในหัวข้อ “ตลาดแรงงานไทยหลังยุค COVID-19 การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและยั่งยืน”
           การอบรม หัวข้อ “Digital marketing อีคอมเมิร์ซ และโซเชียลมีเดีย โดยคุณประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช” และ หัวข้อ “อีสปอร์ต (eSports) เปลี่ยนคนติดเกมสู่เส้นทางอาชีพ”
         การเสวนาในหัวข้อ “แรงงานไทย ก้าวไกล สู่ตลาดแรงงานโลก โดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ”  


          การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพและเตรียมความพร้อม หัวข้อ“อาชีพดีไซน์เนอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก โดยคุณสุทธิรัตน์ แก้วอาภรณ์” และ หัวข้อ “Startup รุ่งหรือร่วง มีคำตอบ” 
           การอบรม หัวข้อ “ภาษาอังกฤษกับการพัฒนาศักยภาพแรงงานไทย” โดยคุณคริสโตเฟอร์ ไรท์”
          กิจกรรมโซนรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ Workshop ทำหมูกรอบ, ซาลาเปา, การดัดลวด, การทำน้ำหอม ลิปสติก  มินิคอนเสิร์ตจากคุณเบิ้ล ปทุมราช 
          กิจกรรม Workshop สร้างอาชีพ การทำวุ้น 3 มิติ, การถักเชือก, การบิดลูกโป่ง
มินิคอนเสิร์ตจากวง MUSKETEERS (16.30 น.)
           กิจกรรมแรงบันดาลใจสร้างอาชีพ Workshop การทำกาแฟ, การทำเป็ดกีตาร์, การทำบูมเมอแรง 
           มินิคอนเสิร์ตจาก GUNGUN เจ้าของเพลง ปลาวาฬเกยตื้น
             โครงการดีๆ จากรัฐบา ล “Job Expo Thailand 2020 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ จัดโดยกระทรวงแรงงาน สนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

แม็คโคร ลุยจัดโรดโชว์งาน “วันโชห่วยไทย ชี้ช่องรวย โชห่วยไทย วิถีใหม่” ที่ จ.ชลบุรี ตอบโจทย์ร้านโชห่วย สร้างกำไร สร้างรายได้

แม็คโคร ลุยจัดโรดโชว์งาน “วันโชห่วยไทย 

ชี้ช่องรวย โชห่วยไทย วิถีใหม่” ที่ จ.ชลบุรี  

ตอบโจทย์ร้านโชห่วย สร้างกำไร สร้างรายได้  

                       บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ลงพื้นที่ จัดงาน “วันโชห่วยไทย ชี้ช่องรวย โชห่วยไทย วิถีใหม่” ครั้งที่ 2 โซนภาคตะวันออก ณ แม็คโคร สาขาชลบุรี ตอกย้ำการเป็นมิตรแท้โชห่วยมากว่า 31 ปี พบกับกิจกรรมรูปแบบวิถีใหม่ กับสินค้าโปรฯ แรง ลดหนักจัดเต็ม แจกสนั่น ผ่าน Facebook Live พร้อมรับชมกิจกรรมอบรมให้ความรู้และเทคนิคที่ช่วยให้โชห่วยไทยอยู่แล้วรุ่ง กำไรงาม จากทีมงานแม็คโครมิตรแท้โชห่วย และวิทยากรมากประสบการณ์  


                      นายวีระชัย ตู้วชิรกุล ประธานการจัดงาน ตลาดนัดโชห่วย ครั้งที่ ๑๒  กล่าวว่า แม็คโครเป็นเสมือนคู่คิดทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการร้านโชห่วย มากว่า 31 ปี โดยมุ่งมั่นสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการโชห่วยให้อยู่รอดในทุกอุปสรรค โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของผู้คน จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่เรียกกันว่า ชีวิตวิถีใหม่ ผู้ประกอบการร้านโชห่วยต้องปรับตัวและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง แม็คโครจึงได้พัฒนาโมเดล โชห่วยไทย วิถีใหม่  เพื่อช่วยให้โชห่วยไทยสามารถปรับตัวและก้าวข้ามความท้าทายในทุกสถานการณ์ โดยในปีนี้ แม็คโครได้จัดกิจกรรมงาน “วันโชห่วยไทย ชี้ช่องรวย โชห่วยไทย วิถีใหม่” ขึ้น เพื่อให้ความรู้ในการบริหารจัดการร้าน     โชห่วยให้เข้มแข็ง ปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และส่งเสริมการขายเพื่อสร้างกำไรและเพิ่มรายได้  

                    งาน “วันโชห่วยไทย ชี้ช่องรวย โชห่วยไทย วิถีใหม่” จัดขึ้นเป็นปีแรก ใน 4 ภูมิภาค เพื่อมอบความรู้ ส่งเสริมการขายให้กับผู้ประกอบการทั่วประเทศ และเป็นโมเดลให้ร้านโชห่วยนำไปประยุกต์ใช้กับกิจการของตนเองได้ บริษัท ฯ มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะสนับสนุนธุรกิจของสมาชิกร้านค้าปลีกรายย่อยให้แข็งแกร่ง ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่เข้ามา รวมถึงได้แนะนำเครื่องมือและทักษะในการสร้างยอดขาย ตลอดจนเพิ่มผลกำไร ผ่านกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอบรม สัมมนา การแจกคู่มือการจัดการร้านค้าปลีก การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและสอดรับกับสถานการณ์การทำธุรกิจและพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 

                    “จากข้อมูลของผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อยที่แม็คโครมี พบว่า ปัญหาสำคัญของโชห่วยไทย คือ การไม่ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง และไม่มีการลงทุนขยายกิจการและบริการให้ตรงใจกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป โมเดลโชห่วยไทย วิถีใหม่ จึงถูกพัฒนาขึ้น ภายใต้การวางยุทธศาสตร์ 3 ด้าน นั่นคือ อยู่ให้รอด อยู่ให้รุ่ง อยู่ให้รวย ผ่านการอบรมการจัดการร้านค้าปลีกโดยแม็คโคร ต้องมีการสำรวจความต้องการของลูกค้า และจัดหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตลอดจนใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายลูกค้า เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์  และบริการดิลิเวอรี่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ตลอดจนเพิ่มเติมบริการ e-payment  ชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดของธนาคารต่างๆ หรือ ทรู วอลเล็ต หากโชห่วยในประเทศไทยที่มีอยู่กว่า 5 แสนราย ทำได้ ก็จะสามารถเติบโตอยู่รอดได้อย่างรุ่งและรวยแน่นอน” 

                    กิจกรรมงาน “วันโชห่วยไทย ชี้ช่องรวย โชห่วยไทย วิถีใหม่” จัดขึ้นในรูปแบบการผสมผสานระหว่าง On ground ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในแม็คโครทุกสาขาทั่วประเทศ และ Online Event ที่มีการทำ Live streaming  จากสาขาผ่าน เฟซบุ๊ก และ แม็คโครไลน์ออฟฟิเชี่ยล โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกซื้อสินค้าในราคาโปรโมชั่นพิเศษ รวมทั้งจะได้พบกับกิจกรรมที่แม็คโครเตรียมไว้เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้ร้านค้าผ่านแคมเปญต่าง ๆ อาทิ ตู้เย็นครัวชุมชน สินค้าราคาพิเศษจากแม็คโครจัดให้ และแม็คโครคลิก พร้อมกิจกรรมให้ความรู้จากทีมงานมิตรแท้โชห่วย และวิทยากรพิเศษตลอดการจัดงานทุกภาคทั่วไทย   

                     โดยในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 24 - 27 กันยายน ณ แม็คโคร สาขาชลบุรี และเตรียมจัดงานในครั้งต่อไปที่ภาคอีสานในวันที่ 15 - 18 ตุลาคม ณ แม็คโคร สาขาอุดรธานี และสุดท้ายที่ภาคใต้ในวันที่ 5 - 8 พฤศจิกายน   ณ แม็คโคร สาขาสุราษฎร์ธานี ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.siammakro.co.th  หรือ โทร. 02-335-5300

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “การผลิตสื่อเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในการพัฒนาเด็กและเยาวชน” พร้อมนำเสนอ ๑๔ ผลงานสื่อสร้างสรรค์

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “๑๔ ผลงานสื่อสร้างสรรค์ เพื่อการปฏิรูปการศึกษาในการพัฒนาเด็กและเยาวชน” เพื่อส่งเสริมเยาวชนให้ก้าวสู่การเป็นพลเมืองคุณภาพในศตวรรษที่ ๒๑

           สืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้อนุมัติโครงการหรือกิจกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี ๒๕๖๑ โดยฝ่ายพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน บัดนี้ โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจำนวนทั้งสิ้น ๑๔ โครงการ พร้อมแล้วที่จะนำเสนอผลงานสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ดังนั้น กองทุนฯ จึงได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “๑๔ ผลงานสื่อสร้างสรรค์ เพื่อการปฏิรูปการศึกษาในการพัฒนาเด็กและเยาวชน” เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเสนอผลงานสื่อสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนไทย

            ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดเผยว่า การผลิตสื่อเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในการพัฒนาเด็กและเยาวชนนั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ โลกอนาคตเป็นโลกของเด็กๆนะครับ ผู้ใหญ่อย่างเรามีหน้าที่ที่จะต้องวางรากฐานที่ดีไว้ให้กับพวกเขา 

โดยเฉพาะในประเด็นของการศึกษา ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ทางกองทุนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในจุดนี้ จึงได้ริเริ่มดำเนินงานโครงการการผลิตสื่อเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในวันนี้จะเป็นการนำเสนอผลงานถึง ๑๔ ผลงานด้วยกัน โดยแต่ละผลงานที่ผู้รับทุนได้มานำเสนอผลงานด้วยตัวเองในวันนี้ เป็นสื่อที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนแทบทั้งสิ้น โดยในจำนวน ๑๔ โครงการนั้น เราได้จัดแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ ๑ : สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

กลุ่มที่ ๒ : สื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชนในศตวรรษที่ 21

กลุ่มที่ ๓ : พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาและสังคมไทย

ซึ่งทั้ง ๓ กลุ่ม ๑๔ ผลงานสื่อสร้างสรรค์นี้ถือว่าได้ผ่านคณะทำงานติดตามและประเมินผลโครงการ จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณชน

โดยแต่ละผลงานที่ผู้รับทุนได้มานำเสนอผลงานด้วยตัวเองในวันนี้ เป็นสื่อที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้เราได้มุ่งเน้นในเรื่องการส่งเสริมสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย, สื่อสำหรับเด็กพิเศษ, เราสร้างสื่อให้เยาวชนได้ค้นพบศักยภาพและค้นหาความถนัดของตัวเอง เพื่อให้ก้าวสู่การเป็นพลเมืองคุณภาพในศตวรรษที่ ๒๑, เราสร้างสื่อแอนิเมชั่น แล้วก็ยังมีสื่อการเรียนการสอนสำหรับคุณครู ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านในที่นี้คงได้เห็นสื่อเหล่านี้เผยแพร่ทางแพลตฟอร์มต่างๆ หลายช่องทางแล้ว

             สำหรับเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการสื่อสารให้สาธารณชนและสังคมได้เข้าใจถึงความสำคัญของภารกิจของสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในการที่จะผลิตสื่อสำหรับเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายบุคคลและองค์กรที่สนับสนุนการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อที่จะต่อยอดและบูรณาการทางความคิดที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศในภายภาคหน้าต่อไป


ททท. จัดงานมอบรางวัลโครงการ TAT GYM 2020 เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม

ททท. จัดงานมอบรางวัลโครงการ TAT GYM 2020 เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม


               นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโครงการยกระดับขีดความสามารถของการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน (TAT GYM 2020) ร่วมกับพันธมิตร อาทิ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และบริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด สรุปผลภาพรวมการดำเนินงานโครงการฯ พร้อมประกาศผลและมอบรางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ 3 ทีม ที่สร้างผลงานนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวได้อย่างโดดเด่น นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดแสดงผลงานนวัตกรรมของผู้เข้าร่วมโครงการทั้ง 10 ทีม ณ อาคาร ททท. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563

             นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. เผยว่า โครงการยกระดับขีดความสามารถของการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน หรือ TAT GYM 2020  ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทั้ง 10 ทีม จากผู้สมัครทั้งสิ้น 24 ทีม และผ่านกระบวนการพัฒนาศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถอย่างเข้มข้น ทั้งจากการเพิ่มทักษะและองค์ความรู้ผ่านการอบรมออนไลน์กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญตามหลักสูตรการอบรมของโครงการในหลากหลายหัวข้อ อาทิ ทัศนคติของนักจัดการการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน การท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวหลังภาวะวิกฤต กลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการสื่อสาร การตลาดการท่องเที่ยวยุคดิจิทัล เป็นต้น นอกจากนี้ทั้ง 10 ทีม มีภารกิจในการพัฒนานวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวร่วมกับที่ปรึกษาประจำทีม หรือ Mentor ในระยะเวลาประมาณ 30 วัน ซึ่งผลจากความทุ่มเทและความตั้งใจของทุกทีมก็ทำให้ได้ผลงานนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวที่เป็นรูปธรรม ซึ่งผลงานนวัตกรรมของทั้ง 10 ทีมนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของการท่องเที่ยวไทยบนพื้นฐานของการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) 

            ด้าน นางสาวทอปัด สุบรรณรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า แอร์เอเชียมีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ TAT GYM 2020 ทั้งในด้านการเป็นผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรการอบรมร่วมกับ ททท. และการสนับสนุนการเดินทางและของรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ แอร์เอเชียขอแสดงความชื่นชมผู้เข้าร่วมโครงการทั้ง 10 ทีมที่ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมของโครงการ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวออกมาจนสำเร็จเป็นรูปธรรม ซึ่งทางแอร์เอเชียเชื่อว่าทั้ง 10 ทีมจะสามารถนำนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นไปปรับใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของตนเองและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต


                 ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการ TAT GYM 2020 ทั้ง 10 ทีม ได้แก่  คิดถึง คอทเทจ จังหวัดกระบี่ นำเสนอของฝากของที่ระลึกในรูปแบบ offline สู่ online ซึ่งนำเทคโนโลยี AR มาช่วยในการถ่ายทอดเรื่องราวของชุมชน ฝักฝางโฮมสเตย์ จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวในอำเภอฝาง และการสื่อสารแบบ Viral Marketing ชุมชนนางเลิ้ง กรุงเทพฯ  ออกแบบการท่องเที่ยวชุมชนเสมือนจริง Virtual Community Tour โดยนำเทคโนโลยี AR และ VR มาพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนนางเลิ้ง ชุมชนพระบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน นำเสนอการนำจี้เงินที่เหลือเกินมาจากกระบวนการผลิตเครื่องเงิน มาออกแบบเป็นสร้อยข้อมือที่บอกเล่าเรื่องราวของ


ชุมชน HUG LANNA DESIGN จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอ “ขุนช่างเคี่ยนโมเดล” นวัตกรรมท่องเที่ยวชุมชนสร้างสรรค์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนไตลื้อเมืองลวงเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอนวัตกรรม "ข้าวแคบแนบวิถี" โดยการทำข้าวแคบให้มีหลายรสชาติและเพิ่มทางเลือกในการทำข้าวแคบให้สุกโดยใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า พร้อมพัฒนาบรรจุภัณฑ์ มีกินฟาร์ม (MEKIN FARM) จังหวัดขอนแก่น นำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวขอนแก่นแบบใหม่ๆ ผ่าน Facebook Page “เที่ยวถึงแก่น” พร้อมนำเทคโนโลยี Chatbot มาช่วยในการเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยว


 Kusatsu Onsen & Spa Chonburi จังหวัดชลบุรี นำเสนอประสบการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวให้ผู้บริโภค โดยใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง VR ในการสร้างสรรค์คลิปท่องเที่ยวแบบ 360 องศา ในบางแสน จ.ชลบุรี กลุ่ม BARAHOM BARZAAR จังหวัดปัตตานี นำเสนอนวัตกรรม “โต๊ะพิมพ์ผ้าลวดลายกระเบื้องเครื่องถ้วยชามโบราณ” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำผ้าบาติกของกลุ่ม ชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองส่าน จังหวัดสกลนคร พัฒนากระบวนการสื่อสารกับนักท่องเที่ยว และกระบวนการจองทริปท่องเที่ยว การขายสินค้าชุมชน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี Chatbot เข้ามาช่วย



             สำหรับทีมที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยม 3 ทีม คือ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนไตลื้อเมืองลวงเหนือ  มีกินฟาร์ม และกลุ่ม BARAHOM BARZAAR ซึ่งจะได้รับเงินสนับสนุน โล่รางวัล และบัตรโดยสารเครื่องบินภายในประเทศสายการบินไทยแอร์เอเชีย 

               ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการฯ เพิ่มเติมได้ทาง www.tatgym.com และ Facebook page: TAT GYM

        








ป่อเต็กตึ๊งเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาส่งมอบไออุ่น แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวเชียงราย ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร

ป่อเต็กตึ๊งเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาส่งมอบไออุ่น แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวเชียงราย ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร          ...